วันที่ 9 ธันวาคมนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (PO) ของ บมจ.สยามแม็คโคร หรือ MAKRO ซึ่งในช่วงที่เปิดให้จองซื้อวันที่ 4-8 ธันวาคม ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนจำนวนมาก
THE STANDARD WEALTH ได้สำรวจบทวิเคราะห์และมุมมองนักลงทุน VI พบว่ามีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นเพิ่มทุนของ MAKRO เนื่องจากเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้จะใช้สำหรับชำระคืนหนี้และกดให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 0.3 เท่าในปีนี้ แต่ราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ 43.50 บาท ที่ใกล้กับราคาซื้อขายในกระดานค่อนข้างมาก อาจทำให้เสน่ห์หุ้น MAKRO ลดลง
VI มอง 3 โอกาสส่ง MAKRO น่าลงทุน
อธิป กีรติพิชญ์ หรือ นิ้วโป้ง นักลงทุนหุ้นแนว VI นักเขียนและเจ้าของเพจ นิ้วโป้ง Fundamental VI กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า หุ้นเพิ่มทุน (PO) ของ MAKRO นั้นเหมาะกับนักลงทุนที่พร้อมจะลงทุนในช่วง 6-12 เดือนจากนี้ เนื่องจากจะเป็นช่วงที่ได้เห็นพัฒนาการที่สำคัญของผลประกอบการ MAKRO หลังจากรวมกิจการของ Lotus เข้ามา ซึ่งจะทำให้เกิด Synergy ค่อนข้างมาก ประกอบด้วย
- โอกาสที่ศักยภาพการทำกำไรจะเพิ่มขึ้นหลังรับโอนกิจการ Lotus ซึ่งจะผลักดันให้มาร์จิ้นของ MAKRO ดีขึ้นอย่างชัดเจน เพราะทั้ง 2 กิจการสามารถสร้าง Sharing Cost กันได้ และเกิด Economy of Scale ทันที โดยที่ยังไม่ได้ต้องลงทุนเพิ่มเติม โดยหลังรับโอนกิจการ Lotus แล้วจะทำให้ MAKRO เป็นกิจการค้าปลีกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชีย
นอกจากนี้โครงสร้างรายได้ของ MAKRO จะเปลี่ยนไป โดยจะมีรายได้ธุรกิจให้เช่าพื้นที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ของ MAKRO แต่เป็นธุรกิจที่ Lotus มีความแข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งมาร์จิ้นของธุรกิจนี้ก็ค่อนข้างดีเช่นกัน
- โอกาสในการขยายกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศของทั้ง 2 กิจการ รวมถึงการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่าง Online กับ Offline จะมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น และเอื้อให้เกิดการวางกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่ดีขึ้นเช่นกัน
- ในปี 2565 จะเป็นช่วงของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศไทย ดังนั้นโอกาสในการฟื้นตัวของ MAKRO จึงดีขึ้นด้วย โดยปัจจุบัน ตลาดประเมินมูลค่าหุ้น MAKRO ด้วยบริบทของเศรษฐกิจปีนี้ที่เป็นขาลงและถูกดดันจากความเสี่ยงเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตอนนี้เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยและโควิดแล้ว และจากนี้ไปจะเป็นช่วงการฟื้นตัว
ดังนั้น แม้ MAKRO จะไม่มีการขยายธุรกิจปี 2565 เลย แต่รายได้และกำไรก็จะเติบโตขึ้นได้จากการรับโอนกิจการ Lotus และอานิงส์จากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว
แนะจับตาความเสี่ยง ‘ถูกดิสรัปต์’ แค่ไหน
อธิป กล่าวว่า เมื่อรับโอนกิจการ Lotus มาแล้ว MAKRO จะเป็นค้าปลีกรายใหญ่ที่มีทั้ง Modern Trade และค้าส่ง และบริหารพื้นที่ให้เช่า ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าจะเกี่ยวข้องกับจำนวนลูกค้าที่เดินทางมาจับจ่ายในพื้นที่มากขึ้น ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมาทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยหันไปจับจ่ายใช้สอยบนช่องทางออนไลน์แทน ซึ่งอาจจะเป็นความเสี่ยงสำหรับ MAKRO
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอยของคนไทยจะกลับสู่รูปแบบเดิมในช่วงหลังโควิด เนื่องจาก Lifestyle ใช้เวลานอกบ้านในห้างสรรพสินค้าและ Modern Trade ค่อนข้างเป็น Norm ของคนไทยไปแล้ว จึงประเมินความเสี่ยงเรื่องถูก Digital Disruption มีค่อนข้างน้อย
อธิป กล่าวเพิ่มว่า อีกความเสี่ยงที่นักลงทุนทั่วไปต้องรู้คือ ราคาจองซื้อหุ้น PO ที่ค่อนข้างใกล้กับราคาซื้อขายในกระดาน ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นในวันที่หุ้นใหม่เข้าซื้อขายนั้นไม่หวือหวามากนัก
“ด้วยการกำหนดราคาที่ 43.50 บาท ซึ่งใกล้กับราคากระดาน ทำให้มีส่วนต่างในการขายทำกำไรไม่มาก จึงเชื่อว่าในวันที่หุ้นใหม่เข้าซื้อขาย ซึ่งทาง MAKRO จะประกาศอีกครั้งนั้น เราจะไม่ได้เห็นราคาหุ้นวิ่งหวือหวาเหมือนกับที่เห็นในวันเข้าซื้อขายวันแรกของหุ้น IPO จึงมองว่าหุ้นเพิ่มทุนของ MAKRO นั้นเหมาะกับนักลงทุนที่พร้อมถือระยะกลาง หรือราว 6-12 เดือน เพื่อรับอานิสงส์จากขนาดกิจการที่ใหญ่ขึ้น และผลประกอบการที่จะเติบโตได้เป็นเท่าตัวทันทีแม้ยังไม่ได้ลงทุนอะไรเพิ่มเลยก็ตาม”
นักวิเคราะห์รอติดตามแผน Synergy เพิ่ม
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ยังขอรอติดตาม Upside ที่อาจมีเพิ่มเติมจากมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน จากรายละเอียดที่คาดได้รับมากขึ้นในช่วงการเสนอขายหุ้น PO ทั้งในส่วนแผนขยายธุรกิจหลังควบรวม ผ่านการใช้เม็ดเงิน PO รวมถึงแนวทางสร้าง Synergy ร่วมกันโดยละเอียด
จึงปรับลดคำแนะนำเป็น Switch (จากเดิมซื้อ) ไปยังหุ้นที่ยังมี Upside ให้ลงทุน คือ CPALL ราคาเหมาะสม 70.5 บาทต่อหุ้น และ DOHOME ราคาเหมาะสม 30.2 บาทต่อหุ้น
ฝ่ายวิจัย บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า การที่กลุ่ม CP ปรับลดจำนวนหุ้น PO ครั้งนี้ลงเหลือ 1,300-1,430 ล้านหุ้น ซึ่งต่ำกว่าแผนเดิมที่ MAKRO ระบุจำนวนหุ้น PO ราว 2,270 ล้านหุ้น หรือ 2,610 ล้านหุ้น กรณีรวมส่วน Over-Allotment เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการตลาดก็อาจมีผลลบในเชิง Sentiment ต่อราคาหุ้นทั้ง CPALL, CPF และ MAKRO ได้
อย่างไรก็ตาม การลดจำนวนหุ้นดังกล่าวจะไม่กระทบพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ เพราะชดเชยด้วย Dilution Effect ที่ลดลงเช่นกัน อีกทั้งเชื่อว่าช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ก็ปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปบ้างแล้ว ในขณะที่โมเมนตัมกำไรที่กำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว และปี 2565 จะมีอานิสงส์เชิงบวกจากการปรับโครงสร้างกิจการ Lotus เต็มปี
ดังนั้น จึงประเมินว่าหากราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับลงเป็นโอกาสในการทยอยซื้อ โดยชอบสุดคือหุ้น CPALL แนะนำซื้อลงทุน ให้ราคาเป้าหมายที่ 72 บาทต่อหุ้น และเลือกเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นสำหรับปี 2565 ด้วย ธีมลงทุนการฟื้นตัวของกำไรหลักในปีหน้าที่จะก้าวกระโดดเท่าตัวเพิ่มขึ้น 115% และคาดจะกลับมาสู่ช่วง Pre-COVID ในปี 2566
บล.กสิกรไทย มองราคา PO คุ้มค่า
ด้านฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ระบุว่า ราคาเสนอขายหุ้น PO ที่ระดับ 43.50 บาทนั้น คุ้มค่าสำหรับการจองซื้อ และแนะนำให้ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ทำการจองซื้อ เนื่องจากราคาเสนอขายเท่ากับราคาเสนอขายของธุรกรรมโอนกิจการทั้งหมด (EBT) จาก Lotus และยังคงมี Upside ที่ 13% ต่อ ราคาเป้าหมายของฝ่ายวิจัยที่ 49 บาท อีกทั้งมีความเห็นด้านบวกต่อแนวโน้มทางธุรกิจของ MAKRO ในระยะปานกลาง ถึงแม้ว่าจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะลดการเติบโตของ EPS ในปี 2565
ฝ่ายวิจัยระบุว่า MAKRO น่าจะได้รับเงินราว 3.96 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะนำไปชำระหนี้ประมาณ 1.95 หมื่นล้านบาท ใช้ขยายธุรกิจประมาณ 1.95 หมื่นล้านบาท และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จึงคาดว่า D/E สุทธิของ MAKRO จะลดลงเหลือ 0.35 เท่าจาก 0.4 เท่า ในช่วงสิ้นไตรมาส 3/2564 หลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้น
โดยได้ปรับประมาณการกำไรปี 2564-2566 ขึ้น 3-5% เป็น 6.6 พันล้านบาท 1.24 หมื่นล้านบาท และ 1.62 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตของกำไรที่ 0%, +89% และ 31% ตามลำดับ แต่คาดว่าอัตราเติบโตของ EPS จะอยู่ที่ -16.3%, +0.8%, และ +31% ตามลำดับ
ทั้งนี้ MAKRO เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (PO) จำนวน 1,300 ล้านหุ้น ที่ราคา 43.50 บาท รวมมูลค่าระดมทุน 56,550 ล้านบาท และหากรวมหุ้นส่วนเกินอีก 130 ล้านหุ้น จะมีมูลค่าระดมทุน 62,205 ล้านบาท
โดยแบ่งการจัดสรรการเสนอขายหุ้น PO ดังนี้
- ผู้ถือหุ้นเดิม MAKRO-CPALL-CPF จำนวน 478.4 ล้านหุ้น หรือ 36.8%
- Cornerstone Investors จำนวน 423.01 ล้านหุ้น หรือ 32.5%
- บุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จำนวน 156.5 ล้านหุ้น หรือ 12%
- นักลงทุนต่างประเทศ จำนวน 128.09 ล้านหุ้น หรือ 9.9%
- นักลงทุนรายย่อย จำนวน 100 ล้านหุ้น หรือ 7.7%
- ผู้มีอุปการะคุณของบริษัท จำนวน 14 ล้านหุ้น หรือ 1.1%
วัตถุประสงค์ระดมทุนเพื่อใช้ขยายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศของ MAKRO และ Lotus รวมถึงลงทุนด้านเทคโนโลยี O2O ในสัดส่วน 50%, และอีก 50% นำไปใช้หนี้เงินกู้