วันนี้ (12 มีนาคม) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการสืบสวนกรณีทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ว่า เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะสังคมกำลังเฝ้ามองอยู่ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตอบสนองทันที โดยตั้งกรรมการสอบ และเรียกผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกมาหารือถึงการสอบสวนขั้นต้น ถือว่าคืบหน้าไปด้วยดี
ภูมิธรรมระบุว่า กำลังตรวจสอบผู้ที่อยู่ในเครือข่ายว่าป่วยเป็นโรคนั้นจริงหรือไม่ ซึ่งสอบปากคำไปเกือบ 150 คนแล้ว และไปสอบเพิ่มเติมที่ จังหวัดลพบุรี และสมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีรายชื่อเครือข่ายปรากฏอยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อแต่อาสามาให้ข้อมูลอีก 30 กว่าราย พร้อมกันนี้ได้เชิญให้เจ้าหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้ามาร่วมตรวจสอบ เพราะต้องดูเรื่องเส้นทางการเงินด้วย คาดว่าสิ้นเดือนมีนาคมนี้จะสามารถออกหมายจับได้
“มีทั้งผู้เกี่ยวข้องระดับสูงและเครือข่ายต่างๆ รวมทั้งหัวหน้าหน่วย หัวหน้าส่วนที่เป็นเครือข่ายในการดำเนินการ ดังนั้นมีนาคมนี้น่าจะจบ ขณะเดียวกันเราก็สอบต่อด้วยว่าหมดเครือข่ายนี้หรือยัง หรือมีต่อ เพราะพบหลายจุดซึ่งอาจจะอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ขอเวลาดำเนินการ คิดว่าภายใน 1 เดือนก็คงจบเรื่องนี้ชัดเจน”
เมื่อถามว่าถ้ารอจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมจะมีการทำลายพยานหลักฐานหรือไม่ เพราะขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งให้พักงานเจ้าหน้าที่บางส่วน ภูมิธรรมกล่าวว่า เดี๋ยวรอ เพราะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าหลักฐานทำลายไม่ได้ เพราะเราเข้าไปกำชับเข้มงวดแล้ว อีกทั้งได้หลักฐานมาพอสมควร กำลังหารายละเอียดให้ครบถ้วน จึงขอไม่เปิดเผยรายละเอียดมากกว่านี้
ภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้พบการกระทำในลักษณะนี้แค่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกแห่งเดียว โดยจะมีการแยกสอบทั้ง ป.ป.ท., ปปง., อผศ. และตำรวจ ถ้าสอบแล้วต่อไปถึงไหนเราก็ต้องไปตรงนั้น เพราะความผิดมันขึ้นอยู่กับอายุความ และความเป็นจริง
“ถ้าความเป็นจริงมันถึง (10 ปี) เราก็ต้องเอาให้ถึง และผมได้พูดในที่ประชุมว่าเราเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อทหารหาญที่สละชีพ และทุพพลภาพจากการสู้รบเพื่อปกป้องประเทศชาติ แทนที่เงินเหล่านี้จะไปช่วยพวกเขาได้มากขึ้น กลับถูกเบียด จึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และเต็มที่ เข้มงวด ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย และข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น จะเป็นโอกาสที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่น รวมถึงได้ขอให้ไปวางระบบดูแลที่เข้มงวดกว่านี้”
ภูมิธรรมยอมรับว่า ระบบที่มีการจัดวางใหม่อาจจะกระทบต่อการบริการประชาชนบ้าง แต่โรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐที่ทันสมัย เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลศิริราช ก็ใช้กันได้ แต่ต้องทำให้โปร่งใส รวดเร็วมากขึ้น สามารถจองคิวได้ พร้อมยืนยันไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้
