วันนี้ (16 พฤศจิกายน) ที่ Sharm El-Sheikh International Convention Center ประเทศอียิปต์ วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย COP27 พร้อมด้วย จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ เกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เข้าหารือร่วมกับตัวแทนของประเทศสหรัฐอเมริกา จอห์น เคอร์รี ผู้แทนพิเศษว่าด้วยประเด็นสภาพภูมิอากาศ (Special Presidential Envoy for Climate) และคณะ ภายหลังจากการกล่าวถ้อยแถลงบนเวทีโลก
วราวุธกล่าวว่า การหารือในครั้งนี้ ประเทศไทยได้บอกกล่าวเจตนารมณ์และเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 หรือที่เรียกว่า NDC (Nationally Determined Contribution) รวมถึงการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวในการลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2065 เป็นแนวทางสำคัญในการจัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model) อย่างจริงจัง
วราวุธกล่าวต่อว่า สหรัฐอเมริกาได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องการปล่อยก๊าซมีเทนในประเทศไทยและทั่วโลก เพราะปัญหาสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวันนี้เกิดจากก๊าซมีเทน ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งในประเทศไทยพบว่าสาเหตุหลักในการเกิดก๊าซมีเทนมาจากภาคการเกษตร ทำนาปลูกข้าวนับล้านไร่ เป็นการทำนาในลักษณะปล่อยน้ำขังไว้ในที่นาเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนออกมา เช่นเดียวกับภาคปศุสัตว์ ก็มีการสร้างก๊าซมีเทนออกมาเช่นกัน ซึ่งก๊าซมีเทนถือว่ามีอานุภาพร้ายแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 26-28 เท่า โดยคาดหวังว่าการดำเนินงานดังกล่าวร่วมกัน รวมถึงจะสนับสนุนการรักษา Pathway 1.5 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายของความตกลงปารีสต่อไป
ดังนั้นทางสหรัฐฯ จึงมาหารือและเชิญชวนทุกประเทศช่วยกันหาแนวทางในการลดปริมาณก๊าซมีเทนลง พร้อมขอให้ประเทศไทยมาลงนามในข้อตกลง ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยจะต้องรับไปหารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ดูแลภาคการเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึงกระทรวงแรงงาน ในรายละเอียด และยังต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนที่จะมีการลงนามในโอกาสต่อไป