×

กองทัพว้า ขยายฐานใกล้ชายแดนไทย: บททดสอบเชิงยุทธศาสตร์ของไทยควรทำอย่างไร?

29.11.2024
  • LOADING...
กองทัพว้า

กองทัพสหรัฐว้า หรือ UWSA มีฐานที่มั่นหลักอยู่ในรัฐฉาน และเป็นกองกำลังอิสระที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมียนมาในปัจจุบัน ด้วยกำลังพลกว่า 20,000 นาย พร้อมยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ว้าจึงมีศักยภาพทางการทหารที่โดดเด่น

 

เป้าหมายของ กองทัพว้า คือการรักษาอำนาจในพื้นที่ควบคุม และสร้างความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ติดกับจีนและไทย ว้าปฏิเสธการปกครองโดยรัฐบาลรัฐฉาน แต่ขอขึ้นตรงกับรัฐบาลกลางเนปยีดอเท่านั้น เพื่อรักษาสถานะกึ่งอิสระในการบริหารพื้นที่ของตน

 

การตั้งฐานที่ดอยหัวม้าและหนองหลวง ซึ่งล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความพยายามของว้าในการขยายเขตอำนาจ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องการรวมพื้นที่ชายแดนทั้งสองฝั่งให้กลายเป็นรัฐที่ใหญ่ขึ้น

 

ทางการไทยตอบโต้ด้วยการทำหนังสือประท้วง และกำหนดเส้นตายให้กองทัพว้าถอนกำลังภายในกลางเดือนหน้า อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการถอนกำลังออกไป การล่วงล้ำเช่นนี้จึงอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่ซับซ้อนระหว่างไทยและว้า

 

ขณะที่ศักยภาพทางการทหารและการสนับสนุนจากจีนทำให้ว้าเองก็มีความมั่นใจในอำนาจของตนเอง โดย รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า ว้าพยายามแสดงแสนยานุภาพเพื่อยืนยันสถานะของตนในภูมิภาค โดยการล่วงล้ำอธิปไตยไทยอาจเป็นการ ‘ทดสอบ’ การตอบสนองและฤทธานุภาพของกองทัพไทย รวมถึงสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นในการเจรจาต่อรองในอนาคต

 

นอกจากศักยภาพทางการทหาร ว้ายังใช้พื้นที่ชายแดนเป็นฐานสำคัญในการผลิตยาเสพติด เช่น ยาบ้า โดยรายได้จากการค้ายาเสพติดถูกนำไปเสริมสร้างแสนยานุภาพและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน อาคาร และอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ

 

อาจารย์ดุลยภาควิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ราคายาเสพติดที่ลดลงในปัจจุบันสะท้อนถึงศักยภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นของว้า รายได้จากการค้ายานี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการทหาร และสนับสนุนเป้าหมายของว้าในการสร้างรัฐที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

 

ความล่วงล้ำอธิปไตยของว้าส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงชายแดนไทย ทั้งในแง่ของความเสี่ยงต่อการปะทะ และการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การลักลอบค้ายาเสพติด

 

คำถามสำคัญคือ หากกองทัพว้าไม่ถอนกำลังออกจากพื้นที่ไทย ไทยจะต้องดำเนินการอย่างไร? การเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงระหว่างกองทัพไทยและว้าอาจเกิดขึ้นหรือไม่? หรือไทยจะเลือกวิธีการอื่นที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงน้อยกว่า?

 

อาจารย์ดุลยภาคมองว่า การเจรจากับว้าโดยตรงเป็นแนวทางสำคัญที่สุดที่ไทยควรใช้เพื่อลดความตึงเครียด การเจรจาไม่เพียงช่วยป้องกันการปะทะ แต่ยังเปิดโอกาสให้ไทยสามารถพูดคุยในประเด็นความมั่นคง เช่น การป้องกันการลักลอบค้ายาเสพติดในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ ไทยยังสามารถดึงประเทศอื่นๆ เช่น สปป.ลาว เข้ามามีบทบาทในการร่วมกดดันว้าในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางค้ายาเสพติดในภูมิภาค

 

นอกเหนือจากการเจรจา ไทยสามารถใช้ยุทธศาสตร์ถ่วงดุลอำนาจ (Balance of Power) ด้วยการสร้างพันธมิตรกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในรัฐฉาน เช่น กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ (SSA) ซึ่งมีความขัดแย้งกับว้าอยู่แล้ว พันธมิตรเหล่านี้ช่วยสร้างแรงกดดันเชิงยุทธศาสตร์ต่อว้า โดยไม่ต้องให้ไทยดำเนินการทางทหารเพียงลำพัง

 

ขณะเดียวกันไทยเองก็ต้องยอมรับด้วยว่า ที่ผ่านมาไทยไม่ได้แสดงแสนยานุภาพทางทหารให้ว้าตระหนักถึงศักยภาพของกองทัพไทย ฉะนั้นหากไทยต้องดำเนินการทางทหาร ไทยควรมีความพร้อมและอาศัยพันธมิตรในรัฐฉานเข้ามาร่วมเสริมกำลัง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทางทหารโดยตรงควรเป็นทางเลือกสุดท้ายเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง

 

ส่วนความจำเป็นที่ต้องดึงจีนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ในมุมมองของอาจารย์ดุลยภาค การดึงจีนเข้ามาเกี่ยวข้องควรแยกเป็นสองกรณี คือปัญหาอธิปไตยที่ไทยควรจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองโดยไม่ดึงจีนเข้ามา เนื่องจากเป็นปัญหาภายในประเทศ แต่สำหรับประเด็นที่ส่งผลกระทบในระดับภูมิภาค เช่น หมอกควัน เส้นทางน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง หรือการค้ายาเสพติด ไทยสามารถประสานงานกับจีนและ สปป.ลาว เพื่อสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อว้า

 

ท้ายที่สุดแล้ว การขยายอิทธิพลของ กองทัพว้า ไม่ใช่เพียงปัญหาความมั่นคงชายแดน แต่เป็นบททดสอบยุทธศาสตร์ของไทยในการจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ การเลือกแนวทางระหว่างการเจรจา การถ่วงดุลอำนาจ หรือการดำเนินการทางทหาร ล้วนต้องอาศัยความชาญฉลาดและการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศและเสถียรภาพในภูมิภาค

 

ภาพ: Ye Aung Thu / AFP 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X