×

ยูเซน โบลต์: ความลับของยอดมนุษย์สายฟ้า

14.07.2021
  • LOADING...
ยูเซน โบลต์

นับตั้งแต่ที่เขาสืบเท้าก้าวลงสนาม โลกของกรีฑาก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกตลอดไป

 

ภาพของ ยูเซน โบลต์ ในความทรงจำคือยอดนักวิ่งผู้ที่มาพร้อมกับความมั่นใจเต็มพิกัด ท่วงท่าลีลายียวนจนน่าหมั่นไส้ในบางเวลา แต่ในเวลาเดียวกันมันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของซูเปอร์สตาร์ชาวจาเมกาที่เกิดขึ้นเพราะเขารู้ว่าเมื่อใดที่ได้สัญญาณในการปล่อยตัว

 

 

เขาคือคนที่เร็วที่สุด และเขารู้ (ทุกคนก็รู้) ว่าผู้ชนะจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

สิ่งที่หลายคนอยากรู้คือเขาไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน?

 

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก – โบลต์​บุตรชายของคุณพ่อเวลล์สลีย์และคุณแม่เจนนิเฟอร์ เกิดและเติบโตที่เมืองเชอร์วูด คอนเทนต์ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศจาเมกา โดยใช้เวลาในวัยเด็กในการเล่นคริกเก็ตและฟุตบอลอยู่ข้างถนนกับพี่น้อง

 

แต่พรสวรรค์ในการเล่นของเขามันแจ่มชัดจนปิดไม่มิดตั้งแต่ชั้นประถม เขากลายเป็นนักวิ่งมือหนึ่งของโรงเรียน และแม้จะพยายามเปลี่ยนมาเล่นคริกเก็ตเมื่อขึ้นเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่โค้ชของเขาสังเกตได้ถึงความเร็วอันน่าเหลือเชื่อและขอให้เจ้าหนุ่มยูเซนเปลี่ยนมาเป็นนักวิ่งน่าจะเหมาะสมกว่า

 

 

เรื่องราวที่เหลือจากนั้นคือประวัติศาสตร์ จากนักวิ่งหน้าใหม่ในระดับมัธยมสู่การเป็นเจ้าของ 8 เหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก โดย 6 เหรียญในนั้นคือการคว้าเหรียญทองในการแข่งวิ่ง 100 และ 200 เมตร ใน 3 สมัยติดต่อกัน (ปักกิ่ง 2008, ลอนดอน 2012 และริโอ 2016)

 

ไม่เคยมีใครทำผลงานแบบนี้ได้มาก่อน และทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดนักวิ่งตลอดกาลของโลกใบนี้

 

สำหรับลีลาการแสดงออกสุดมันราวกับนักมวยปล้ำ WWE นั้นไม่ได้เป็นการแสดง เพราะโบลต์ยืนยันว่ามันก็คือตัวตนที่แท้จริงของเขานั่นเอง

 

“มันเป็นการแสดงตัวตนของผม” พ่อสายฟ้าฟาดอธิบาย “ผมเคยทำมันอยู่ 2-3 ครั้ง และแฟนๆ ก็ดูจะชอบมัน ผมก็เลยทำมาเรื่อยๆ ผมรักช่วงเวลาที่สนามกีฬาเต็มไปด้วยพลัง พลังนั้นจะช่วยให้ผมทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย”

 

 

ลีลาต่างๆ ของโบลต์ที่แฟนๆ ได้เห็นในสนามจึงเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะในยามปกติเขาก็เป็นคนแบบนี้

 

แต่ในมุมที่ลึกกว่านั้น การแสดงออกแบบชิลๆ ในช่วงจังหวะที่เข้าบล็อกสตาร์ทนั้นในทางจิตวิทยาแล้วถือว่าเป็นสุดยอดศิลปะของการควบคุมจิตใจตัวเอง เพราะยามปกติแล้วนักวิ่งจะพยายามรักษาสมาธิเอาไว้ให้ได้สูงสุดเพื่อรอเสียงลั่นไกและออกตัว

 

โบลต์ทำในสิ่งตรงกันข้ามก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักษาสมาธิ ในทางตรงกันข้าม เขามีวิธีในการรักษาสมาธิเอาไว้ได้โดยที่ปราศจากความกลัวหรือความวิตกกังวลว่าจะทำผลงานได้ไม่ดี เรียกได้ว่าเป็นการปลดปล่อยจิตใจตัวเองจากพันธนาการทั้งปวง

 

“ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” โบลต์เผยถึงความลับของมนุษย์สายฟ้า “เย็นนี้ผมจะหม่ำอะไร แล้วพรุ่งนี้ผมจะทำอะไร”

 

คำว่าเรื่อยเปื่อยของโบลต์​คือการคิดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เรื่องของการวิ่งหรือเรื่องที่เขากำลังอยู่ที่เส้นสตาร์ทโดยมีแฟนๆ หลายล้านคนทั่วโลกคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทุกมัดของเขา

 

จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณล่ะ? ที่เหลือที่เขาต้องทำก็คือแค่วิ่งไปให้สุดแรงเกิด สนุกกับบรรยากาศของการแข่งขันเท่านั้น

 

 

“เพราะถึงตรงนั้นมันไม่มีอะไรให้คิดแล้ว ผมก็คิดแค่การมีสมาธิจากการสตาร์ทไปถึงการเร่งความเร็วและการเปลี่ยนไปสู่การวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด”

 

ความลับสุดท้ายที่เขาแตกต่างจากทุกคนคือความเชื่อมั่นและการไม่คิดที่จะยอมอ่อนข้อให้กับใคร

 

สำหรับใครก็ตามที่คิดจะแข่งกับเขาก็นับเป็นคู่แข่งหมด ไม่ว่าจะนักกีฬาคู่แข่ง เป็นเพื่อน หรือแม้แต่ลูกชายวัย 5 ขวบของตัวเอง

 

สิ่งเหล่านี้คือส่วนประกอบต่างๆ ที่ทำให้ ยูเซน โบลต์ กลายเป็นนักวิ่งผู้ไม่มีใครล้มได้

 

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากเหรียญโอลิมปิกและสถิติโลก (ซึ่งในวงการมีการแอบเสียดายเพราะโบลต์ในช่วงพีกน่าจะมีโอกาสที่จะทำเวลาได้ดีขึ้นอีกหากเขาเอาจริงเอาจัง) สิ่งที่ดีที่สุดที่โบลต์ได้มอบให้แก่แฟนกีฬาทุกคนบนโลกคือความสุขและความทรงจำ

 

ทุกคนเฝ้ารอจะได้เห็นเขาลงสนาม รอดูลีลาของการฉลองชัยชนะ รอดูความยียวนของเขา

 

รอด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเสมอ

 

มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีนักวิ่งคนไหนในโลกทำได้มาก่อน และทำให้การแข่งวิ่ง 100 และ 200 เมตรในโอลิมปิกคือกีฬาที่จะไม่มีใครยอมพลาด เพราะการเผลอไผลเพียงไม่กี่วินาที นั่นอาจหมายถึงการพลาดช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

ยอดมนุษย์สายฟ้าหนึ่งเดียวคนนี้

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising