Bloomberg รายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศถึงแผนการที่เตรียมจะยกระดับกำแพงการค้ากับจีน ด้วยวิธีเพิ่มข้อจำกัดในส่วนของเม็ดเงินที่บริษัทและชาวอเมริกันจะสามารถนำไปลงทุนในจีนได้ โดยจุดประสงค์หลักคือ การกีดกันไม่ให้จีนสร้างฐานเทคโนโลยี อย่างเช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ ควอนตัมคอมพิวเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีศักยภาพทัดเทียมสหรัฐฯ เนื่องจากอาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศได้
เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังสหรัฐฯ กล่าวในงานสัมมนา G20 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “มาตรการควบคุมการค้าครั้งนี้เป็นมาตรการที่พุ่งเป้าไปกับสินค้าแค่ไม่กี่อุตสาหกรรม ซึ่งไม่ใช่การกีดกันที่จะกระทบกับการลงทุนโดยรวมของสหรัฐฯ ในประเทศจีน และจะไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญกับการลงทุนในจีนด้วย”
คำพูดของเยลเลนทำให้ทางการจีนออกมาโต้ว่า สหรัฐฯ ควรเคารพกฎกติกาการแข่งขันที่ยุติธรรม และควรพิจารณายกเลิกแผนการที่จะลดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน ไม่เช่นนั้นจีนเองก็มีสิทธิ์ที่จะใช้มาตรการโต้กลับ
ท่ามกลางความตึงเครียดกับสหรัฐฯ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ยังคงยืนกรานที่จะทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่งในการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ได้ภายในปี 2035 โดยสีประกาศให้จีนพัฒนานวัตกรรมอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะตอนนี้พวกเขากำลังตามหลังในการผลิตเทคโนโลยีชิ้นสำคัญของโลกอนาคตอยู่
สีกล่าวว่า แม้จีนจะพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การสร้างนวัตกรรมต้นแบบยังถือได้ว่าอ่อนแออยู่ พร้อมทั้งบางเทคโนโลยีสำคัญ อย่างเช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซอฟต์แวร์ และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูง ส่วนมากยังคงถูกควบคุมโดยชาติอื่น
เป้าหมายการนำจีนไปสู่ประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีก็เพื่อ “สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ เสริมศักยภาพในการป้องกันประเทศ และอำนาจความแข็งแกร่งโดยรวม” สีกล่าวเสริม
ภาพ: Blackdovfx / Getty Images
อ้างอิง: