สหรัฐฯ ขยายกำลังการผลิตวัคซีนโควิด ช่วยเหลือประชาคมโลก ควบคู่ฉีดเข็มกระตุ้นให้พลเมือง เชื่อมั่นทำได้

เมื่อวานนี้ (19 สิงหาคม) ดร.แอนโทนี เฟาซี ที่ปรึกษาทางด้านการแพทย์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผยว่า สหรัฐฯ กำลังขยายกำลังการผลิตวัคซีนโควิดเพื่อส่งไปช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในประชาคมโลกที่อาจจะยังมีปัญหาในการเข้าถึงวัคซีนโควิด เพื่อใช้รับมือการแพร่ระบาดของเชื้อภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการฉีดเข็มวัคซีนกระตุ้น (Booster Shot) ให้กับพลเมืองอเมริกัน

ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) และนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยต่างไม่เห็นด้วยกับแนวทางของบรรดาประเทศมั่งคั่งที่เดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับพลเมืองของตน แทนการช่วยกันกระจายวัคซีนโควิดเพื่อช่วยเหลือประชากรโลกที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก

โดยหมอใหญ่สหรัฐฯ ระบุว่า “ขณะนี้เรากำลังขยายกำลังการผลิตวัคซีน เพื่อส่งเสริมให้เราสามารถส่งมอบวัคซีนไปช่วยเหลือบรรดาประเทศรายได้น้อยถึงรายได้ปานกลางได้

“เรากำลังทำสองสิ่งควบคู่กัน เรารับรู้ถึงความต้องการวัคซีนของบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายอย่างแท้จริง แต่เราก็เชื่อมั่นว่าเราสามารถทำสองสิ่งนี้ควบคู่กันได้

“ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราจะต้องลงมือทำอีกมาก โดยจะเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้”

หลังมีรายงานพบว่าพลเมืองอเมริกันราว 90 ล้านรายยังไม่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อเดลตาภายในสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญคาดสหรัฐฯ อาจกลับมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึงราว 2 แสนรายต่อวันเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้ ทางการสหรัฐฯ จึงพิจารณาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในพลเมืองกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาด้านภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีประวัติเพิ่งเข้ารับการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยคาดว่าจะเริ่มเดินหน้าฉีดเข็มกระตุ้นให้กับพลเมืองส่วนใหญ่ที่เข้ารับวัคซีนโควิดเข็มที่ 2 มาแล้ว 8 เดือน ในราววันที่ 20 กันยายนที่จะถึงนี้

รัฐบาลหลายประเทศ เช่น อิสราเอล เยอรมนี ได้พิจารณาแนวทางการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับกลุ่มเสี่ยงภายในประเทศของตนแล้ว และอาจมีแนวโน้มในอนาคตที่จำเป็นจะต้องเข้ารับวัคซีนเป็นประจำทุกปี เช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อให้พลเมืองมีภูมิคุ้มกันต้านเชื้อโควิดอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ส่งมอบวัคซีนไปแล้วกว่า 120 ล้านโดสให้อย่างน้อย 80 ประเทศทั่วโลก พร้อมสนับสนุนโครงการ Covax ของ WHO และพันธมิตรอีก 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.33 แสนล้านบาท)

บทความที่เกี่ยวข้อง: