วันนี้ (24 พฤษภาคม) สมาชิกของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. พร้อมด้วยกลุ่มกระทิงแดงไทยพิทักษ์ และกลุ่มนักรบเลือดสีน้ำเงิน ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สหรัฐฯ หยุดแทรกแซงกิจการภายใน อันเป็นการบั่นทอน 3 สถาบันหลักของไทย ซึ่งได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ใจความในแถลงการณ์ของกลุ่มฯ ระบุว่า ทางกลุ่มฯ ไม่พอใจกรณีที่ ซูซาน ไวลด์ ส.ส. สหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการดำเนินคดีและปล่อยตัวนักกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายเกี่ยวกับการยุยงปลุกปั่น ทางกลุ่มฯ มองว่า ข้อเรียกร้องของไวลด์เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะม็อบที่ถูกจับกุมไม่ได้จัดกิจกรรมอย่างสงบอย่างที่ไวลด์กล่าวอ้าง และผู้ที่ถูกจับกุมมาตรา 112 ไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่เป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
นอกจากนี้ ทางกลุ่มฯ มองว่า แถลงการณ์ของ โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า “เมื่อวานนี้ประชาชนหลายสิบล้านคนได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วราชอาณาจักรไทย ในฐานะผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง สื่อมวลชน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และที่สำคัญที่สุด ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง สหรัฐอเมริกาในฐานะเพื่อนและพันธมิตรที่ยาวนานของไทย ตั้งตารอที่จะได้ทราบผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ” เข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในและเป็นการกดดันประเทศไทย ซึ่งทางกลุ่มฯ ระบุว่า การแจ้งผลเลือกตั้งมีกรอบระยะเวลาตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้อยู่แล้ว ซึ่งสหรัฐฯ ต้องเคารพในกติกาและมารยาทของประเทศนั้นๆ
ล่าสุด โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้เปิดเผยผ่านทาง Twitter ว่า “ผมได้พบกับกลุ่มคนที่มารวมตัวกันหน้าสถานทูตสหรัฐฯ รับจดหมายเรียกร้อง และรับฟังความเห็นของพวกเขา ผมยังได้ขอบคุณที่พวกเขามา อีกทั้งได้ย้ำว่าสหรัฐฯ เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย รวมทั้งการที่ประชาชนไทยยกย่องเทิดทูนพระบรมวงศานุวงศ์อย่างสูง”
“ผมยังเน้นด้วยว่าสหรัฐฯ ไม่ได้หวังให้ผลการเลือกตั้งเป็นแบบหนึ่งแบบใด และไม่ได้สนับสนุนพรรคหรือผู้สมัครใด เราตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลที่มาจากกระบวนการประชาธิปไตยของไทย ประชาชนชาวไทยเท่านั้นควรเป็นผู้เลือกว่าใครจะเป็นผู้บริหารประเทศ”
ภาพ: Ambassador Robert F. Godec Via Twitter
อ้างอิง:
