‘ขึ้นภาษี – คุมส่งออก – ตลาดผันผวน’ สามตอนจบที่นักลงทุนเริ่มจำได้ขึ้นใจ ทุกครั้งที่สหรัฐฯ และจีนเปิดศึกทางเศรษฐกิจ เรื่องราวมักดำเนินไปในรูปแบบเดิม และจบลงด้วยการกลับมาเจรจากันอีกครั้ง
รอบนี้ (ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2568) เนื้อเรื่องแทบไม่ต่างจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะทางการค้าอย่างดุเดือด สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนบางรายการสูงสุดถึง 100% อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการ ควบคุมการส่งออก ‘แร่หายาก’ (Rare Earth) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด
ทีม Global Investing หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่าภาพเหล่านี้สะท้อน สงครามการค้ากลับมาฉายซ้ำอีกครั้งในยุคที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เหมือนเดิม และในโลกของทรัมป์ เราคงต้องทำใจว่า ‘หนังภาคต่อ’ แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เสียงขู่ขึ้นภาษี แถลงตอบโต้ของจีน และแรงขายระยะสั้นในตลาดหุ้นจะกลายเป็นฉากที่ผู้ลงทุนเริ่มคุ้นชิน
แต่ในความซ้ำซากนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ ‘โครงสร้างการพึ่งพา’ ของสองขั้วมหาอำนาจ เพราะในขณะที่สหรัฐฯ พยายามกีดกันสินค้าจีนเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ จีนเองก็ยังต้องพึ่งพาชิป เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไม่มีใครตัดขาดใครได้จริง การเผชิญหน้ารอบนี้จึงถูกมองว่าเป็นเพียง ‘การยกระดับเชิงยุทธวิธี’ มากกว่าการแตกหักถาวร
ที่น่าสนใจกว่าคือ ‘ฉากหลังของโลก’ ที่เปลี่ยนไปจากเมื่อห้าปีก่อน โลกกำลังเคลื่อนสู่ยุค Multipolar World ที่อำนาจเศรษฐกิจเริ่มกระจายตัวออกจากศูนย์กลางเดิม การย้ายฐานการผลิตจากจีนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และละตินอเมริกา ไม่ได้เป็นเพียงการกระจายความเสี่ยง แต่กำลังกลายเป็นโครงสร้างใหม่ของห่วงโซ่อุปทานโลก
บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต่างเร่งปรับกลยุทธ์ผลิต ‘China + 1’ หรือแม้แต่ ‘China + Many’ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งเดียว ขณะเดียวกัน ประเทศในเอเชียกลับกลายเป็นผู้ชนะที่ได้รับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะ เวียดนาม ที่กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตใหม่ในอาเซียน และ อินเดีย ที่กำลังถูกผลักดันให้เป็นฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและยานยนต์แห่งต่อไปของโลก
ในฝั่งจีน รัฐบาลเร่งสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันทางเทคโนโลยี’ ภายในประเทศ ทั้งการฟื้นบทบาทภาคเอกชน สนับสนุนอุตสาหกรรม semiconductor และ AI รวมถึงการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก (deep tech) เพื่อทดแทนการนำเข้า การกลับมาของผู้นำเทคโนโลยีอย่าง Jack Ma และการประชุมร่วมกับบริษัทใหญ่ระดับ Huawei, BYD และ Xiaomi สะท้อนชัดว่ารัฐบาลต้องการ ‘ปลุกเอกชนให้กลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ’ อีกครั้ง
ส่วนสหรัฐฯ ก็เดินหน้าใช้ CHIPS Act และ Inflation Reduction Act ผลักดันการผลิตชิป พลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้ากลับบ้าน ศึกครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง ‘สงครามการค้า’ อีกต่อไป แต่คือ ‘สงครามเทคโนโลยี’ ที่จะกำหนดผู้นำเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21
ทีม Global Investing หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่าในมุมตลาดทุน ความผันผวนที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียง ‘จังหวะพักหายใจ’ มากกว่าสัญญาณอันตราย เหตุการณ์ในเดือนเมษายนชี้ให้เห็นแล้วว่า หลังตลาดปรับฐานแรงมากกว่า 10% ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน ต่างฟื้นตัวได้กว่า 30% ในไม่กี่เดือนถัดมา นักลงทุนที่อดทนและมองข้ามเสียงรบกวนระยะสั้นจึงกลายเป็นผู้ชนะในรอบก่อน และอาจจะในรอบนี้เช่นกัน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้สงครามการค้าจะสร้าง ‘เสียงรบกวนระยะสั้น’ ให้ตลาด แต่สุดท้ายตลาดก็จะกลับมาให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวเสมอ การฟื้นตัวในรอบก่อนจึงอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น ‘แพตเทิร์นของตลาดโลก’ ในยุคที่การเมืองกับเศรษฐกิจเดินคู่กัน
สำหรับนักลงทุน ระหว่างที่ตลาดกำลังตีความข่าวในแต่ละวัน การกลับมามองภาพใหญ่ของโลกอาจสำคัญกว่า เพราะเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ยุค ‘โลกหลายขั้ว’ สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง AI และนวัตกรรม จีนกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศและเป็นหัวใจของ supply chain ในเอเชีย
โลกอาจกำลังหมุนเข้าสู่ยุคที่คาดเดาผู้ชนะได้ยาก และนั่นคือเหตุผลที่ ‘การกระจายลงทุน’ จะกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของทศวรรษหน้า ทำให้สิ่งที่นักลงทุนควรทำอาจไม่ใช่ ‘เลือกข้าง’ แต่คือ ‘กระจายพอร์ต’ ให้ได้รับประโยชน์จากทุกขั้วที่เติบโตพร้อมกัน
ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเปิดรับโอกาสจากโลกหลายขั้วได้อย่างเป็นระบบ คือ ‘DR Global Index’ พอร์ตลงทุนอัตโนมัติที่กระจายใน DR ชั้นนำ ครอบคลุมตลาดหุ้นหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย และเวียดนาม โดยจะปรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเทศให้อัตโนมัติตามภาวะตลาด เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยไม่ต้องคอยจับจังหวะเอง
ในยุคที่ความผันผวนกลายเป็นเรื่องปกติ และ ‘หนังม้วนเดิม’ ถูกนำกลับมาฉายซ้ำอยู่เรื่อย ๆ การกระจายพอร์ตอย่างมีระบบคือบทใหม่ของการลงทุนที่ช่วยให้เรายังอยู่บนเวทีได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนฉากกี่ครั้งก็ตาม อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR Global Index ได้ที่ https://www.bualuang.co.th/article/drglobalindex