หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) เพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเชิงอุตสาหกรรม โดยเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา สร้างความคึกคักให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) ที่ประกาศจะต่อยอดธุรกิจจากพืชชนิดนี้เป็นจำนวนมาก
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่ากัญชงกับกัญชาแตกต่างกันอย่างไร ทำไมประเทศไทยจึงอนุญาตให้ปลูกและใช้ประโยชน์ได้เฉพาะกัญชงเท่านั้น
สำหรับกัญชงและกัญชานั้นเป็นพืชชนิดเดียวกัน มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่สามารถสังเกตได้เบื้องต้นคือ กัญชงมีใบแคบเรียวและสีเขียวอ่อนกว่า มีลำต้นสูง และแตกกิ่งก้านน้อยกว่า ช่อดอกมียางน้อยกว่ากัญชา
โดยกัญชงไม่ได้ถูกนำมาใช้ในแง่ของยาเสพติด แต่จะเป็นการปลูกเพื่อใช้เส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า เยื่อกระดาษ และเครื่องทอต่างๆ จะเห็นได้จากที่ชาวไทยภูเขาเผ่าม้งได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชงกันมานานแล้ว เพื่อส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้จากงานหัตถกรรม
เราสามารถแยกความแตกต่างของกัญชงและกัญชาได้จากระดับของสารที่ทำให้เกิดความมึนเมา หรือเรียกว่าสาร THC (Delta-9-tetrahydrocannabinal) โดยกัญชงจะมีสาร THC ในใบและช่อดอกไม่เกิน 1% แต่ถ้าสาร THC เกิน 1% จะถือว่าเป็นกัญชา จึงทำให้กัญชามีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการเมาและถือว่าเป็นสารเสพติด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทางรัฐบาลจึงปลดล็อกอนุญาตให้เอกชนสามารถปลูก สกัด และผลิต ในเชิงพาณิชย์ได้เฉพาะกัญชงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกกฎเกณฑ์ในการนำกัญชงไปใช้ได้ใน 3 กรณีเท่านั้น ได้แก่
1. สารสกัดจากกัญชงจะต้องมีระดับสารมึนเมา (THC) ต่ำกว่า 0.2% เท่านั้น
2. จะต้องใช้ผลผลิตกัญชงภายในประเทศเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำเข้ามาสกัด แต่สามารถส่งออกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการในประเทศได้
3. การขออนุญาตปลูกจะต้องมีผู้รับซื้อที่ชัดเจน ไม่อนุญาตให้ปลูกโดยยังไม่มีแหล่งรับซื้อ
สำหรับการเปิดตลาดกัญชงนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ในประเทศไทยจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่ในต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมามีการสนับสนุนให้ใช้กัญชงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และมีการวิจัยพัฒนาอย่างถูกกฎหมายในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และบางประเทศในยุโรป แต่ก็มีนโยบายและการควบคุมที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูกไปจนถึงการออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ ที่ผ่านมา ตลาดกัญชงในต่างประเทศมีศักยภาพในการเติบโตสูง และมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นการใช้งานทั้งทางการแพทย์และสำหรับสันทนาการ แต่สำหรับในประเทศไทย ทางภาครัฐกำลังทยอยออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกัญชง ทั้งในการขออนุญาตปลูก การสกัดน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้ภายนอก และการนำสารสกัด CBD มาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม อาหาร และอาหารเสริม
ในส่วนของผู้ประกอบการกัญชงนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มตามขั้นตอนการผลิต ได้แก่
1. กลุ่มต้นน้ำ คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่เอาเมล็ดมาเพาะปลูก ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน โดยต้องมีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขในการปลูก และสามารถระบุผู้ซื้อผลผลิตเบื้องต้นได้
2. กลุ่มกลางน้ำ คือ การนำเอาไปสกัดเป็นน้ำมันหรือเป็นสาร CBD โดยโรงสกัดจะต้องมีใบอนุญาตและมีมาตรฐาน GMP ตามผลิตภัณฑ์ตามกฎหมาย
3. กลุ่มปลายน้ำ คือ ผู้ประกอบการที่จะนำเอาสารสกัดมาผสมลงไปในผลิตภัณฑ์
สำหรับในภาคของการลงทุนในหุ้นไทยนั้นมองว่า ผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในช่วงแรกคือผู้ประกอบการกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำ หรือผู้นำเข้า-ปลูก-สกัด ที่คาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาก่อน ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองราคาสูงและมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำด้วย 3 เหตุผลหลักๆ คือ
1. แนวโน้มผู้ประกอบการที่เข้ามาขออนุญาตทำธุรกิจฝั่งปลายน้ำสูงกว่าต้นน้ำในช่วงแรก
2. ขณะที่การนำเข้าสินค้าต้นน้ำจากต่างประเทศไม่สามารถทำได้ภายใน 5 ปีนี้ ด้วยมาตรการส่งเสริมพืชเกษตรในประเทศของภาครัฐ จึงมีความจำเป็นต้องพึ่งการปลูก-สกัดจากภายในประเทศเท่านั้น
3. ภาครัฐยังไม่มีนโยบายควบคุมราคากลางของกัญชง ทำให้ราคาเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด ในขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำจะต้องรอการปลูก-สกัดจากกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำที่จะใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 เดือน ทั้งยังมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่สูงอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายที่สนใจผลิตภัณฑ์กัญชงนี้ แต่ในระยะยาวคาดว่าผู้ที่มีศักยภาพในการแข่งขันและมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้จะสามารถอยู่รอดในธุรกิจได้
จากภาพรวมข้างต้นจะเห็นว่า กัญชงเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตใหม่ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งเกษตรกร ประชาชนทั่วไป รวมทั้งบริษัทจดทะเบียน โดยมองถึงโอกาสของธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม การจะลงทุนในหุ้นตัวใด นักลงทุนคงต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ ให้ดี ไม่ควรลงทุนตามกระแสเพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะเจ็บตัวได้ และควรดูความเสี่ยงที่รับได้ของเราประกอบการตัดสินใจลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล