×

เผยเบื้องหลังการเปลี่ยน “ยูนิฟอร์ม” ที่มากกว่าเปลี่ยนชุด แต่เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ [ADVERTORIAL]

โดย THE STANDARD TEAM
27.10.2025
  • LOADING...
uniform Bumrungrad International Hospita

“ชุดยูนิฟอร์ม” ในมุมมองทั่วไปก็คือ ชุดที่แสดงว่าทำหน้าที่อะไรในองค์กรอะไร ดูจะไม่ได้มีความหมายมากกว่า แต่นั่นไม่ใช่ในสายตาขององค์กรแนวหน้าทางการแพทย์ไทยอย่าง “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” เพราะแท้จริงแล้วมันคือ “สัญลักษณ์” ขององค์กร และ “ตัวตน” ของบุคคลที่สวมใส่ และการเปลี่ยนแปลงยังสร้างความหมายและอิมแพ็กต์ให้กับองค์กรและบุคลากรได้มากกว่าที่คิด 

 

THE STANDARD ได้รับโอกาสร่วมเจาะลึกความหมายที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มของบุคลากรของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กับ 2 ผู้บริหารอย่าง นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer และ ภัทรพงศ์ กาฬภักดี Chief Administrative Officer of Ancillary Services, Cancer Center, HIM & HR ที่มาเผยความหมายและสัญญะที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ 

 

การเปลี่ยนยูนิฟอร์มที่มากกว่าแค่การเปลี่ยนยูนิฟอร์ม 

 

อุตสาหกรรมการแพทย์กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากเทคโนโลยีดิจิทัล การแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) และความคาดหวังของผู้ป่วยที่สูงขึ้นทุกวัน โรงพยาบาลชั้นนำไม่อาจยึดติดอยู่กับวิธีการเดิมได้อีกต่อไป 

 

สำหรับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ การเปลี่ยนผ่านเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากนวัตกรรมทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นแม้กระทั่งใน “สิ่งเล็กที่สุด” ที่คนภายนอกอาจมองข้าม “ชุดยูนิฟอร์มของบุคลากร” 

 

“ธุรกิจโรงพยาบาลก็เหมือนธุรกิจทั่วไปที่ต้องมีวิวัฒนาการ ต้องปรับตัวอยู่เสมอ” นภัส เปาโรหิตย์ กล่าว 

 

นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

นภัส เปาโรหิตย์ 

Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

นภัสเล่าว่า ในอดีตโรงพยาบาลจะเปลี่ยนยูนิฟอร์มทุก 5 ปีโดยประมาณ แต่ในยุคที่ทุกอย่างหมุนเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงรอบนี้จึงไม่ใช่แค่ “การอัปเดตลุค” แต่เป็นการรีดีไซน์ตัวตนขององค์กรทั้งระบบ “โลกการแพทย์วันนี้ไม่ได้วัดกันที่เครื่องมือหรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงวิธีคิด วิธีทำงาน และประสบการณ์ที่ผู้ป่วยรู้สึกได้ ผู้ป่วยยุคนี้อยากเข้ามาในพื้นที่ที่รู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และร่วมสมัย เพราะฉะนั้นการดูแลผู้ป่วยไม่ใช่แค่เรื่องการรักษา แต่คือภาพรวมของทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นและสัมผัส ตั้งแต่ก้าวแรก” 

 

โครงการปรับเปลี่ยนยูนิฟอร์มจึงถือเป็น “หมุดหมาย” สำคัญของบำรุงราษฎร์ในช่วงการปรับตัวครั้งใหม่ขององค์กร เป็นการ “เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน” ผ่านสิ่งที่ทุกคนต้องสวมใส่ในทุกวัน 

 

สร้าง Pride และ Sense of Belonging ในองค์กร 

 

แม้การเปลี่ยนแปลงชุดยูนิฟอร์มจะมีขึ้นในทุก ๆ 5 ปี แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจไม่ได้คำนึงถึงมุมของคนที่สวมใส่ในมุมมองคุณค่าทางจิตใจ ประกอบกับสิ่งที่ผู้ได้รับบริการหรือผู้ป่วย อินไซต์จากสองฝ่ายจึงนำมารวมกัน 

 

เมื่อเจาะลึกไปฝั่งของผู้สวมใส่ ทั้ง 2 ผู้บริหารมองว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เป็นการสร้างความมั่นใจ และความภูมิใจของบุคลากร ในมุมมองของฝ่ายทรัพยากรบุคคล เครื่องแบบใหม่นี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญ  

 

เนื่องจากพนักงานผู้ให้บริการของโรงพยาบาลกว่า 85% เป็น Generation Y และ Generation Z (รวมกัน) จึงต้องมีเครื่องแบบที่ดูล้ำสมัยและทันสมัย ช่วยให้พนักงานมีความภาคภูมิใจและมั่นใจในการทำงาน และอยากที่จะมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้รับบริการ  

 

Function Meets Fashion การออกแบบที่ทำความเข้าใจ “ผู้สวมใส่” 

 

เบื้องหลังยูนิฟอร์มใหม่ไม่ได้เริ่มจากการเลือกแบบ แต่เริ่มจากการตั้งคำถามว่า 

“พนักงานของเราทำงานอย่างไรในแต่ละวัน?” 

 

ทีมงานจึงเริ่มต้นด้วยการลงพื้นที่สำรวจจริง ทั้งในห้องฉุกเฉิน ห้องตรวจผู้ป่วย ห้องปฏิบัติการ และจุดบริการหน้าฟรอนต์ เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของบุคลากรทุกตำแหน่ง ตั้งแต่แพทย์ พยาบาล ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน 

 

“เราอยากให้พนักงานรู้สึกภูมิใจเวลาสวมยูนิฟอร์ม เพราะมันสะท้อนความเป็นมืออาชีพและความมั่นใจของเขาเอง” ภัทรพงศ์ กาฬภักดี กล่าว 

 

ภัทรพงศ์ กาฬภักดี Chief Administrative Officer of Ancillary Services, Cancer Center, HIM & HR โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ภัทรพงศ์ กาฬภักดี 

Chief Administrative Officer of Ancillary Services, 

Cancer Center, HIM & HR โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

 

จากความเข้าใจนี้จึงเกิดแนวคิดหลักของโครงการ “Where Function Meets Fashion” หรือการออกแบบที่ผสมผสาน ฟังก์ชันการทำงานจริง เข้ากับ แฟชั่นร่วมสมัย เพื่อให้บุคลากรทุกคนสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว และในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีที่ได้สวมใส่ 

 

แก่นแท้ของคอนเซปต์ ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ Simplicity, Function และ Fashion เน้นความ Simplicity เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนทั้งต่อผู้สวมใส่และผู้รับบริการที่มองเข้ามา นอกจากนี้ ชุดต้องมีความร่วมสมัยเพื่อให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน 

 

ความร่วมมือกับดีไซเนอร์ไทยระดับโลก 

 

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ร่วมมือกับบริษัทออกแบบมืออาชีพอย่าง FN หรือ “Flynow” ที่มีประสบการณ์ในระดับแฟชั่นแบรนด์อย่างการมีผลงานบน London Fashion Week เพื่อทำให้ยูนิฟอร์มใหม่กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “องค์กรที่ไม่หยุดนิ่ง” 

 

“เราเลือกผู้ที่ตอบโจทย์เราได้ดีที่สุด มีการทำการบ้านมาอย่างดี และนำเสนอผลงานที่สวยงาม ทันสมัย สามารถใช้งานได้ในระยะยาว FN คือผู้ที่ตอบโจทย์เราได้ดีที่สุด” 

 

FN ถูกเลือกเนื่องจากเป็นเจ้าเดียวที่กล้าคิดนอกกรอบ โดยการนำแนวคิดของชุด สปอร์ต และชุดออกกำลังกายมาผนวกเข้ากับชุดบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการสร้าง New Concept ของชุด Healthcare Uniform 

 

Function Meets Fashion การร่วมงานกันของ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ Flynow

Function Meets Fashion

การร่วมงานกันของ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ Flynow

 

“สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ FN คือการคิดนอกกรอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโลกของแฟชั่นไร้ขอบเขตและรูปแบบ การนำผ้าพลีทมาใช้ไม่เพียงแต่เข้ากับฟังก์ชันการทำงาน แต่ยังตอบโจทย์ด้านการใช้งานและการบำรุงรักษา สุดท้ายคือเรื่องของวัตถุดิบที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ต้องการให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้บริษัทที่มีแนวคิดที่สอดคล้องกับบำรุงราษฎร์ ซึ่งปรารถนาจะเป็นที่หนึ่งและต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ” 

 

“เรามองว่ายูนิฟอร์มของ Health Care ของบำรุงราษฎร์จะเป็นผู้บุกเบิกในการนำแนวคิดเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ อีกทั้งเราไม่ต้องการให้ยูนิฟอร์มของเราเป็นเพียง “ยูนิฟอร์มอีกแบบหนึ่ง” นภัส กล่าว 

 

หนึ่งในดีไซน์ที่โดดเด่นที่สุด คือการนำ ผ้าพลีท (Pleats) มาใช้ในบางชุด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในวงการเครื่องแบบทางการแพทย์ของไทย “ตอนแรกไม่มีใครคิดว่าพลีทจะใช้ได้ในโรงพยาบาล แต่เราลองแล้วพบว่ามันตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและความมั่นใจในการทำงาน มันทั้งสวยและมีเหตุผลในเวลาเดียวกัน” ภัทรพงศ์ กล่าว 

 

เปลี่ยนยูนิฟอร์มเพื่อทำลายลำดับชั้นและสร้างความเท่าเทียม 

  

ภาพลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนไปหลังการเปลี่ยนยูนิฟอร์มของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แต่ยังรวมไปถึง “การจัดระเบียบ” วัฒนธรรมองค์กรใหม่ในเรื่องลำดับขั้นและการสร้างความเท่าเทียม โดยเฉพาะในกลุ่มพยาบาล ซึ่งเดิมเคยมีชุดหลากหลายรูปแบบตามตำแหน่งและระดับอาวุโส 

 

“ต้นทุนของยูนิฟอร์มไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง แต่ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันของงาน 

เราอยากให้ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งของการดูแลผู้ป่วย ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สนับสนุน” นภัส กล่าว 

 

“I’m helping send a man to the moon” หนึ่งในความตั้งใจของการรียูนิฟอร์มครั้ง

“I’m helping send a man to the moon”

หนึ่งในความตั้งใจของการรียูนิฟอร์มครั้ง

 

แนวคิดนี้สอดคล้องกับค่านิยมหลักขององค์กรเรื่อง Inclusion & Equality ที่บำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญมาโดยตลอด 

 

“เราอยากให้พนักงานทุกคนรู้สึกเหมือนภารโรงของ NASA ที่ตอบว่า “I’m helping send a man to the moon” ทุกคนมีส่วนร่วมในภารกิจเดียวกันคือ การส่งมอบการดูแลที่ดีที่สุดให้ผู้ป่วย” นภัส กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะลดความหลากหลายของแบบ แต่บำรุงราษฎร์ยังคงรักษา “ภาษาสี” เพื่อแสดงฟังก์ชันงานแต่ละกลุ่มไว้ได้อย่างมีระบบ ไม่ใช่เพียงเพื่อแยกบทบาท แต่เพื่อสร้างการจดจำและความเป็นหนึ่งเดียวของแบรนด์ 

 

  • สีขาว: พยาบาลวิชาชีพ สื่อถึงความเชื่อมั่นและมาตรฐานระดับสากล 
  • สีฟ้า: Critical Care สื่อถึงความมั่นคงและสมาธิ 
  • สีน้ำตาล: ผู้ช่วยพยาบาล สื่อถึงความอบอุ่นและความไว้วางใจ 
  • สีเขียว: Front Service สื่อถึงพลังบวกและความสดชื่นของ Wellness 

 

การใช้สีอย่างมีระบบช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจบทบาทของบุคลากรได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกถึงทีมที่แข็งแกร่งและสอดคล้องในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) นับตั้งแต่การต้อนรับที่ล็อบบี้ ไปจนถึงห้องพักผู้ป่วย 

 

มากกว่าความงาม คือ มาตรฐานใหม่ของวงการโรงพยาบาล 

 

นอกจาก Fashion ความงามที่ทำให้ผู้สวมใส่ภาคภูมิใจและได้แสดงออกตัวตนผ่านชุดยูนิฟอร์มแล้ว รายละเอียดในด้าน Function ก็ยังเป็นอีกปัจจัยหลักของชุดยูนิฟอร์มใหม่นี้ 

 

ทุกชุดผ่านการออกแบบและทดสอบด้วยมาตรฐานเดียวกับชุดปฏิบัติงานทางการแพทย์สากล เช่น 

 

  • Anti-bacteria / Anti-fungal ป้องกันเชื้อโรคและลดการสะสมของแบคทีเรีย 
  • Hygiene Barrier ป้องกันการสัมผัสระหว่างผิวผ้ากับผู้ป่วย 
  • Quick Dry / No Iron แห้งเร็ว ไม่ต้องรีด ลดการใช้พลังงาน 
  • Long-lasting Fiber ยืดอายุการใช้งาน ลดจำนวนชุดที่ต้องผลิต 

 

โดยทั้งหมดเกิดขึ้นจาก 3 เส้นใยที่ถูกนำไปบรรจุในชุดยูนิฟอร์มใหม่ 

 

  1. Syntrel® (Moisture Management Fiber) เส้นใยนี้ระบายความชื้นได้ดี ทำให้รู้สึกแห้งสบาย เหมาะสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ระบายอากาศดี ไม่อับชื้น แห้งเร็ว ไม่ต้องรีด ช่วยรักษาความสะอาดและสุขอนามัย 
  2. Endurance™ (Stretch & Shape Retention Fiber) เส้นใยยืดหยุ่นสูง คืนรูปได้เอง ไม่ยับ ไม่เสียทรง เหมาะกับบุคลากรที่ต้องเคลื่อนไหวบ่อย เช่น พยาบาล ช่วยให้คล่องตัวและชุดเรียบร้อยตลอดวัน 
  3. Hygitex™ (Anti-Bacterial Protection Fiber) เส้นใยนาโนเคลือบสารป้องกันแบคทีเรีย ช่วยลดเชื้อโรค กลิ่นไม่พึงประสงค์ เหมาะสำหรับโรงพยาบาลที่เน้นสุขอนามัย เสริมภาพลักษณ์ความปลอดภัย 

 

“เราออกแบบโดยคิดถึงความปลอดภัยและความสะดวกของผู้ปฏิบัติงานไปพร้อมกัน พยาบาลต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ต้องก้มตัว ต้องสัมผัสผู้ป่วย เพราะฉะนั้นทุกตะเข็บ ทุกส่วนของผ้า ต้องไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและตัวผู้สวมใส่เอง” ภัทรพงศ์ กล่าว 

 

การออกแบบที่คำนึงถึงอินไซต์ของผู้ป่วยและผู้ให้บริการ

การออกแบบที่คำนึงถึงอินไซต์ของผู้ป่วยและผู้ให้บริการ

 

นอกจากนี้ แนวคิดความยั่งยืน (Sustainability) ยังขยายไปสู่ “ระบบนิเวศของการใช้งาน” ทั้งการใช้ผ้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบกระบวนการซักรีด การลดขั้นตอนการรีด และการยืดอายุการใช้งานของชุด เพื่อให้พนักงานทำงานได้ง่ายขึ้น และองค์กรใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่าที่สุด 

 

วิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร From Healthcare to Health Span 

 

หากกล่าวโดยภาพรวม การเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวิสัยทัศน์องค์กรเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จาก “โรงพยาบาล” ที่เน้นการรักษาโรค ไปสู่ “องค์กรสุขภาพ” ที่เน้นการดูแลชีวิตระยะยาว หรือที่รู้จักในชื่อว่า Longevity

 

“เรากำลัง Reinvent ตัวเองจากองค์กรที่รักษาโรค ไปสู่องค์กรที่ดูแลชีวิต เป้าหมายของเราคือ Longevity และ Healthspan หรือการช่วยให้คนมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ภัทรพงศ์ กล่าว

 

ในมิติของการบริหารจัดการ บำรุงราษฎร์ลงทุนในระบบ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนาย (Predictive Analytics) ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น พร้อมทั้งเริ่มนำแนวคิด AI-assisted Screening มาใช้ในงานวินิจฉัยภาพทางการแพทย์

 

“เราศึกษาและใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้แพทย์และทีมดูแลทำงานได้เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และมีเวลาอยู่กับผู้ป่วยมากขึ้น นี่คือการ Reinvent ที่เริ่มจากภายใน และขยายสู่ระบบทั้งหมด” นภัส กล่าว

 

ยูนิฟอร์มจึงกลายเป็นหนึ่งใน “สัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่าน” ที่โรงพยาบาลต้องการสื่อให้โลกเห็นว่า องค์กรนี้กำลังเดินหน้าสู่อนาคตที่ผสมผสานเทคโนโลยี นวัตกรรม และมนุษยธรรมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

 

“อยากให้มองว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ใช่แค่ยูนิฟอร์มธรรมดา ๆ แต่เป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์บางอย่าง การแสดงถึงวิธีคิดของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ว่าในที่สุดแล้วเรายึดมั่นในเรื่องของการปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่ตลอดเวลา การก้าวให้ทันโลกตลอดเวลา หรือบางทีเราอาจก้าวนำทางที่คนอื่นเดินตาม” นภัส กล่าว

 

“เราไม่อยากให้ยูนิฟอร์มของเราเป็นเพียงอีกหนึ่งชุดธรรมดา ๆ ยูนิฟอร์มที่นำเสนอมานั้น มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่จะอธิบายตัวตนของเราได้ เราไม่อยากให้พนักงานแต่งกายแบบโรงพยาบาล 30 ปีที่แล้ว เรามองว่ามันสามารถผ่อนคลายขึ้นได้ มีความล้ำสมัยกว่าภาพที่เราคุ้นเคย แรงขับเคลื่อนภายในนี่แหละคือแบรนด์ มันต้องสร้างและระเบิดออกมาจากตัวตนภายใน แล้วขยายไปสู่ภายนอก ในขณะเดียวกันก็มี Interaction โต้ตอบกันระหว่างภายในและภายนอก” 

 

คำกล่าวนี้เป็นการตอกย้ำในการเปลี่ยนผ่านสิ่งเล็ก ๆ แต่สร้างสารที่ยิ่งใหญ่ในการสื่อสารออกไปให้คนภายนอกได้เห็นและยอมรับในสิ่งที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กำลังทำออกมา และเพราะ “คน” คือหัวใจของการให้บริการทุกขั้นตอน ทั้งแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ การออกแบบใด ๆ จึงต้องเริ่มจากการมองเห็นคุณค่าของผู้ให้บริการก่อนเสมอ

 

“พนักงานของเราจะทำงานได้อย่างไร จะส่งมอบความปลอดภัยในการรักษาได้อย่างไร ให้เขามีความภาคภูมิใจและรู้สึกมั่นใจ ด้วยเหตุนี้ พนักงานจึงเป็นหนึ่งมุมมองที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้ความสำคัญ” ภัทรพงศ์ กล่าว

 

“หัวใจหนึ่งในการให้บริการก็คือผู้ให้บริการนั่นเอง เราอยากจะมีความจริงใจให้กับเขาด้วยว่าเราอยากส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา เพื่อเขาจะมีความมั่นใจที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้รับบริการ และเราไม่ได้อยากให้คนชอบเพราะว่ามันถูกออกแบบโดยแบรนด์ดัง แต่ให้คนชอบเพราะว่านี่คือตำนานใหม่ของยูนิฟอร์มของ Healthcare เราไม่ได้เลือกเจ้าที่ถูกที่สุด เราเลือกเจ้าที่ใช่ที่สุด” 

 

ทั้ง 2 คนได้กล่าวปิดท้ายอย่างมุ่งมั่นถึงอีกหนึ่งก้าวเล็ก ๆ ที่สำคัญต่อภาพใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่พร้อมจะขึ้นสู่เป็นโรงพยาบาลที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด และพร้อมดูแลผู้ที่มารับการรักษาอย่างเต็มศักยภาพ

 

“พนักงานรับรู้ได้ว่าจริง ๆ เราก็หาสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาโดยผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเราจะส่งมอบความเป็นแฟชั่นกับยูนิฟอร์มมันก็ต้องไปให้สุด เรามองความเรียบง่ายมาก ๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว โลกของความซับซ้อนจะทำให้เกิดความสับสน ไม่ว่าจะเป็นผู้สวมใส่หรือผู้รับบริการที่มองเข้ามา นอกจากนี้ ต้นทุนของยูนิฟอร์มไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันที่เขาทำมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทุกคนจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการ เราเองก็อยากเป็นส่วนช่วยให้พนักงานมีความมั่นใจมากขึ้น และอยากที่จะบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้รับบริการ” ภัทรพงศ์ กล่าว

 

“เราคือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เราไม่เคยพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เราไม่เคยพอใจในสิ่งที่เราทำสำเร็จหรือสิ่งที่เราบรรลุไปแล้ว แต่เราเป็นโรงพยาบาลที่รู้ว่าเราต้อง Reinvent ตัวเองตลอดเวลา ต้องก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ยูนิฟอร์มก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่สะท้อนถึงความต้องการก้าวไปข้างหน้านี้ เราหวังว่าคนอื่นจะตีความได้ว่านี่คือความเป็นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ คือความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา คือความพยายามเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา เป็นแบบอย่างของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็ต้อง Simple และใช้งานได้จริง” นภัส กล่าวปิดท้าย

 

หนึ่งในภารกิจการยกระดับของ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์”

หนึ่งในภารกิจการยกระดับของ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์”

 

นี่คือภาพลักษณ์ใหม่ที่ “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” ต้องการสื่อสารและนำเสนอให้ประเทศไทย หรืออาจจะรวมถึงทั้งโลกให้รับรู้ ว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลที่เปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มใหม่ แต่คือ “การที่องค์กรที่ Reinvent ตัวเองจากภายใน” เพื่อมอบความมั่นใจให้กับผู้ให้บริการ และมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับผู้รับบริการ ทั้งในวันนี้และในอนาคต

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising