บ่อยครั้งที่เราได้เห็น อเล็กซ์ เรนเดลล์ ตามสื่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ไม่ใช่แค่เรื่องงานแสดง แต่เป็นเรื่องที่เขากำลังลงมือทำอย่างจริงจังคือการทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และล่าสุดหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งทูตของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เขาเองก็รู้สึกว่านี่เป็นอีกหมุดหมายสำคัญในชีวิตที่งานที่เขาทำนั้นมีผลต่อสังคมภาคใหญ่และถูกมองเห็นความสำคัญ
THE STANDARD ขอพาอเล็กซ์มานั่งคุยกันอีกครั้งว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาในปีนี้ เขากำลังทำอะไร คิดอะไร และรู้สึกอย่างไรกับการมุ่งมั่นทำงานในสิ่งที่เขารัก ที่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขา แต่ยังหมายถึงคนอีกมากมายบนโลกใบนี้
เราพบว่าช่วงก่อนหน้านี้อเล็กซ์มีการลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยแค่ไหนระหว่างลงพื้นที่
ส่วนมากเราจะเรียนรู้จากเหตุการณ์จริง เพราะเวลาลงไปในพื้นที่จริงๆ ทั้งไปเองหรือพานักเรียนไป เราก็จะได้สัมผัสถึงปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง เป็นเรื่องค่อนข้างปกติ แต่อาจจะต้องพยายามมองให้มันเป็นกลางมากที่สุด เพราะเมื่อก่อนเราจะมองปัญหาต่างๆ แบบทางเดียว สุดโต่งมาก จนทำงานตรงนี้ไปเรื่อยๆ และโตขึ้น เราต้องมองว่าทุกปัญหามันมีซ้ายมีขวา ซึ่งการมองแบบนี้ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น และเข้าใจว่าวิธีการแก้ไขคืออะไรในอุดมคติของเรา
มันเจอปัญหาตลอดเวลาอยู่แล้วครับ ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ มันเหมือนเป็นการเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ และปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่างรากมันค่อนข้างลึก ไม่ใช่ว่าเห็นแค่ต้นทาง เพราะฉะนั้นผมมองว่าปัญหาเหมือนต้นไม้ มันต้องมีคนขุดดิน ต้องมีคนปลูก ต้องมีคนรดน้ำจนรากบาน จะไปแก้ทั้งหมดใหม่มันก็ยากแล้ว เพราะฉะนั้นเราแค่ต้องทำให้ไม่เกิดปัญหาแบบเดิมๆ อีก
ทุกครั้งที่ลงพื้นที่ บรรยากาศหรือความรู้สึกใหม่ๆ มันเติมเต็มคุณมากน้อยแค่ไหน
คล้ายๆ กับการเล่นละคร เหมือนทุกฉากมันก็จะมีเรื่องใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งการทำงานด้านนี้ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กัน มันเติมไฟนะ แต่มันไม่ใช่การเติมไฟเสียทีเดียว มันเป็นเหมือนการเติบโตของเรามากกว่า เพราะเราไม่ได้ทำตรงนี้ด้วยความรักอย่างเดียวแล้ว แต่มันคืองาน ตอนนี้มันเป็นงานของเราแล้ว ก็รู้สึกว่าสนุก แล้วก็อยากทำมันด้วยความคิดที่เป็นเชิงบวก
พอเริ่มต้นเรียกมันว่างานแล้ว คุณรู้สึกว่าแตกต่างจากก่อนหน้านี้มากแค่ไหนที่เราอาจมองว่าเป็นเพียงความชอบอีกอย่างเท่านั้น
แน่นอน เหมือนอย่างการดำน้ำที่เราชอบมากๆ อยู่ตอนนี้ เมื่อก่อนเราอาจจะเลือกไปดำน้ำที่ไหนเมื่อไรก็ได้ แต่พอมาเป็นงานจริงๆ พอเราต้องทำมัน เราก็เลือกที่จะเอาสิ่งที่เราชอบมาเป็นงาน มันเป็นการตัดสินใจของเราเอง เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ามันเปลี่ยนไหม ก็ไม่ได้เปลี่ยนเยอะ แต่กลายมาเป็นความรับผิดชอบมากกว่า เราทำองค์กร เราบริหาร เราจัดการคนและอะไรหลายๆ อย่าง มันก็อาจจะทำให้เราโตขึ้น ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น ทำให้เราได้ค้นพบอะไรในตัวเราเยอะขึ้น แล้วก็ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองในทางอื่นนอกเหนือจากงานในวงการบันเทิง รู้สึกว่ามันคุ้มกับตัวเรา เกิดมาทั้งทีผมก็อยากจะสู้กับมันไปเรื่อยๆ
เราทำองค์กร เราบริหาร เราจัดการคนและอะไรหลายๆ อย่าง มันก็อาจจะทำให้เราโตขึ้น ทำให้เราได้ค้นพบอะไรในตัวเราเยอะขึ้น แล้วก็ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองในทางอื่นนอกเหนือจากงานในวงการบันเทิง
วันที่ทราบว่าตัวเองได้รับตำแหน่งทูตของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) คุณรู้สึกอย่างไร ตอนนั้นคุณทำอะไรอยู่
จริงๆ รู้มาสักพักใหญ่ๆ แล้วครับ แต่ว่ายังไม่ได้มีจังหวะในการประกาศอย่างเป็นทางการจากทาง UN ตัวผมเองก็ทำงานกับ UN มาก่อนหน้าที่จะได้ตำแหน่งนี้ 2-3 ปีแล้ว เรียกว่าเป็นเกียรติสูงสุดในการทำงานทางด้านนี้ และเราก็ไม่ได้นึกว่ามันจะยิ่งใหญ่ในสายตาของสังคมขนาดนี้ เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เราแค่คิดว่ามันคือความภาคภูมิใจของเรา ก่อนหน้านั้นผมก็ได้เป็นทูตของ PADI (Professional Association of Diving Instructors) องค์กรดำน้ำด้วย ซึ่งอันนั้นผมก็แฮปปี้มาก และสำหรับ UNEP นี้ผมเองก็รู้สึกดีมาก รู้สึกภูมิใจมากแล้ว ต้องมองว่าทั่วประเทศ เรามองไปทางไหนก็เจอแต่คนทำงานทางด้านสิ่งแวดล้อม เราเห็นคนทำงานหนักกว่าเราด้วย เราเห็นคนที่มีไฟมากกว่าเรา แต่เขาเลือกเรา สำหรับผมมันยิ่งใหญ่มากจริงๆ ครับ
อย่างที่คุณบอกว่าไม่คาดคิดว่าผลตอบรับจากสังคม สื่อมวลชน หรือประชาชนจะมากมายขนาดนี้ มันแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นหรือเปล่า
ถ้าย้อนไปประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว ผมคิดว่ามันยากมากที่เราจะเห็นว่าคนใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากนัก ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และทุกๆ อุตสาหกรรม พอมารู้ตัวอีกที ทุกคนสนใจด้านสิ่งแวดล้อม อาจจะด้วยโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีส่วนด้วย เมื่อก่อนมันไม่ได้รับความสำคัญขนาดนี้ ผมจึงตกใจกับฟีดแบ็กที่ได้รับ ไม่นึกว่ามันจะเป็นข่าวหน้าหนึ่งอะไรขนาดนั้น หรือมีคนเข้ามาแสดงความยินดีมากขนาดนี้ ผมภูมิใจมากๆ
ย้อนกลับไปถึงตอนที่คุณบอกว่าปัญหาด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมันหยั่งลึกเหมือนรากของต้นไม้ คุณจึงเลือกที่จะทำงานกับเด็กและเยาวชนมากกว่าเพื่อปลูกฝังตั้งแต่ก่อนนำต้นไม้ลงดิน
ผมทำงานกับเด็กแล้วรู้สึกง่ายกว่ากับผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ผู้ใหญ่มีประสบการณ์ชีวิตเยอะกว่าเด็กๆ การประเมินสถานการณ์หรือการคิดเรื่องดีเทลจะเยอะกว่าเด็กแน่นอน กับเด็กเราสร้างความมั่นใจให้กับเขาได้ เราไม่ประมาทกับเขา สามารถที่จะให้สิ่งดีๆ กับเขาได้เยอะกว่า แล้วก็อาจจะด้วยความถนัดของเราเองที่เลือกทำงานกับเด็ก เรารู้ว่าเราไม่ได้เก่งเรื่องการทำงานกับผู้ใหญ่สักเท่าไร
ผมเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่ดีให้กับเด็กๆ จริงๆ ผมเชื่อว่าเด็กคนไหนที่เคยผ่านค่ายของเรา หรือผ่านกระบวนการอะไรสักอย่างที่เรามีส่วนร่วม ต่อให้มันจะส่งผลให้เขารักธรรมชาติมากขึ้นแค่ 0.5% ผมก็พอใจแล้ว คือมันต้องเติมให้เขาไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันยาก ยิ่งทำยิ่งสนุก ยิ่งน่าสนใจ
ภาพ: @alexrendell / Instagram
ความไร้เดียงสาของเด็ก บางทีเขาจะมีคำถามหรือพฤติกรรมบางอย่างระหว่างที่อยู่ในค่าย มีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกประทับใจ
เราเจอตลอดเวลา มีเด็กบางคนที่เราเห็นการเติบโตของเขาในทั้งในชีวิตส่วนตัวหรือพฤติกรรมทางสังคม เรามีส่วนในการพัฒนาตรงนี้ให้กับเขาจริงๆ โดยที่เราใช้ธรรมชาติเป็นเครื่องมือ เรามองว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการอนุรักษ์ แต่มันเป็นการสร้างบุคคลที่มีคุณภาพสู่สังคม ส่งต่อให้ผู้ปกครองเข้าใจ บางคนบอกว่าอยากทำงานกับ UN อยากเป็นสัตวแพทย์ อยากจะมาช่วยทำงานองค์กร หรือบางคนอยากกลับไปปรับเปลี่ยนธุรกิจของพ่อแม่ให้เป็น Zero Waste
การทำงานตรงนี้ของคุณเคยสร้างความวิตกกังวลหรือความเครียดบ้างไหม การต้องเดินทางไปในที่ที่ไม่คุ้นชินทำให้เก็บความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาบ้างไหม
ในงานการอนุรักษ์ตรงนี้ ผมไม่เครียดครับ เพราะว่าผมทำเต็มที่ที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้ว ผมไม่ได้นอนมา 5 ปีแล้ว (หัวเราะ) คือเราเต็มที่กับสิ่งที่เราทำมากๆ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีความคิดว่า ‘ตอนนั้นน่าจะทำดีกว่านี้’ เราเคยผ่านเหตุการณ์ที่มันทำให้เรารู้สึกแบบนี้เยอะ เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไร เราจะทำให้เต็มที่ ถ้ารู้สึกว่าไม่เต็มที่ เราจะไม่ทำ แต่พอเติบโตมา พอต้องเจอผู้คนมากมาย ปัญหาคนก็จะตามมาด้วย ผมว่าตรงนี้ล่ะที่ปวดหัวมากกว่า
โครงการล่าสุด ‘กอดป่ากอดทะเล’ เกิดขึ้นได้อย่างไร
มันถึงจุดหนึ่งที่เราอยากจะทำอะไรที่ออกมาจากตัวตนของเราจริงๆ 5 ปีแรกมันเหมือนการเรียนรู้ คืองานของเราจะอยู่ต่างจังหวัดเกือบทั้งหมด เราจึงได้เห็นวิธีการทำงานของคนหลายๆ รูปแบบที่ทำงานอนุรักษ์ แล้วก็เริ่มมาคิดว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร ก็เลยมานั่งคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้เรื่องของสิ่งแวดล้อมมันเข้าใจได้มากขึ้น วัยรุ่นมากขึ้น เพราะโลกของนักวิชาการมันไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมมานั่งฟัง นั่งเข้าใจ
แต่ถ้าเราต้องการให้คนมาสนใจทางด้านนี้มากขึ้นล่ะ เราต้องมีวิธีการสื่อสารอย่างไร สุดท้ายจึงได้เป็นโปรเจกต์ที่เป็นแพลตฟอร์มเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับวัยรุ่น ไม่ใช่เยาวชนอย่างเดียวแล้ว แต่สูงขึ้นมาในคนวัยทำงานที่เราจะไปบรรยายกันทั่วประเทศ แต่พอเจอสถานการณ์โควิด-19 เข้ามา มันรวมตัวไม่ได้ ก็เลยต้องมานั่งปรับเปลี่ยนใหม่ให้มันเป็นรูปแบบของออนไลน์แทน
นอกเหนือจากการทำงานเชิงอนุรักษ์ทั้งหมด มีอีกหนึ่งบทบาทที่คุณเองได้รับ นั่นคือการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัด สิ่งนี้ช่วยให้คุณสร้างความพร้อมให้กับการทำงานมากแค่ไหน
ตอนที่เรามาทำงานกับครอบครัวของแบรนด์ ซันโทรี่ มันเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ ซึ่งโดยปกติงานของเรา ถ้าเกิดว่าต้องไปเป็นพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์ใดขึ้นมา เราต้องปรับตัวเองให้เข้ากับเขา แต่กับ Brand’s นี้กลับกัน เขาเอาสิ่งที่เราตั้งใจทำงานมาขยายให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งนี่คือความโชคดีของเรา
เมื่อก่อนผมดื่ม แต่ไม่ได้ดื่มทุกวัน แต่พอมาเป็นพรีเซนเตอร์ก็เริ่มดื่มไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามันเห็นผลจริงๆ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกินแทบจะทุกวัน ต่อให้ไปต่างจังหวัด ต่อให้จะทำอะไรก็แล้วแต่ มันช่วยเตรียมความพร้อมให้เราจริงๆ เพราะผมทำงานเยอะ นอนดึก ตื่นเช้ามาก ไม่ค่อยได้นอน ซึ่งถ้าเราดื่มแบรนด์แล้ว วันนั้นมันทำให้เราสดใส สดชื่นขึ้น และงานมันดี มันก็ต่อยอดเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ผมมองอย่างนั้นนะครับ
ปกติงานของเรา ถ้าเกิดว่าต้องไปเป็นพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์ใดขึ้นมา เราต้องปรับตัวเองให้เข้ากับเขา แต่กับ Brand’s นี้กลับกัน เขาเอาสิ่งที่เราตั้งใจทำงานมาขยายให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งนี่คือความโชคดีของเรา
ความสุขสูงสุดที่คาดหวังไว้ในการทำงานตรงนี้ของคุณคืออะไร
ไม่รู้เลยครับ เพราะว่าผมไม่ได้ทำมันด้วยความฝันอะไรขนาดนั้น ผมทำด้วยความอยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เราไม่ได้นึกถึงว่ามันจะมาไกลขนาดนี้ เพราะฉะนั้นจุดนี้มันเป็นจุดที่ไกลกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยจริงๆ เราไม่ได้วาดฝันความสำเร็จไว้เลย แต่ถ้าถามว่าความสุขสูงสุด ณ ตอนนี้ ผมอยากทำให้องค์กรของผมโต และอยากมีองค์กรไม่แสวงผลกำไรอีกสักแห่งเป็นของตัวเอง ที่สามารถจะเอาไปช่วยเรื่องโน่นนี่นั่นในสังคมได้โดยที่ไม่ได้เอาอะไร ผมอยากมีสักวันหนึ่งที่เราพร้อม ถ้าเราไม่ยอมแพ้เสียก่อน ก็อยู่ที่ตัวผมแล้วล่ะ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์