×

3 เหตุผลที่ ‘อูไน เอเมรี’ ผิดพลาดจนถูกปลดจากอาร์เซนอล

30.11.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • หลังจากที่ อูไน เอเมรี นำทีมเปิดบ้านพ่ายให้กับ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต คาบ้าน 1-2 ในเกมยูโรปาลีก กลางสัปดาห์ได้ไม่นาน ล่าสุด บอร์ดบริหารของอาร์เซนอลได้ออกแถลงการณ์แยกทางกุนซือชาวสเปนวัย 48 ปี สืบเนื่องจาก 7 เกมที่ผ่านมาของอาร์เซนอล เขาไม่สามารถพาทีมเก็บชัยชนะได้เลยในทุกรายการ จนสุดท้ายเขาได้กลายเป็นผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกคนที่ 3 ที่ถูกปลดพ้นจากตำแหน่งในฤดูกาลนี้
  • หลังจาก อูไน เอเมรี ถูกยุติบทบาทการเป็นโค้ชให้กับอาร์เซนอล ทั้งที่ทำหน้าที่ได้เพียง 18 เดือน ก็มี 3 เหตุผลที่ชวนให้คิดว่า บางทีประเด็นเหล่านี้อาจเป็นชนวนให้การทำงานของเขาใช้ไม่ได้ผลกับอาร์เซนอลในยุคนี้ ซึ่งประกอบด้วย การบริหารคน การสื่อสาร และความรู้ความเข้าใจในเกม

ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าตกใจเมื่อได้ทราบข่าว แต่ดูเหมือนข่าวการถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล ของอูไน เอเมรี จะไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจากใครต่อใครมากมายนัก – อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกช็อกเหมือนกรณีของคู่ปรับร่วมลอนดอนเหนือที่ปลด เมาริซิโอ โปเชตติโน เมื่อ 10 วันที่แล้ว

 

ในทางตรงกันข้าม มันเป็นสิ่งที่ถูกคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งผลงานนัดล่าสุดในการพ่ายต่อ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต คาบ้านของตัวเองก็มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยเร่งการตัดสินใจของบอร์ดบริหารให้ออกมาในรูปแบบนี้

 

เพราะนอกจากเกมนี้แล้ว อาร์เซนอลก็ไม่ชนะใครเลยในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่เข้าเดือนตุลาคม หรือร่วมสองเดือนเต็ม

 

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตามทิศทางข่าวก่อนหน้านี้บอร์ดบริหารยังพยายามที่จะเชื่อมั่นในตัวของผู้จัดการทีมชาวสเปน และพร้อมจะให้โอกาสในการแก้ตัวในช่วง 2-3 นัดข้างหน้า

 

แต่เมื่อผลงานเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีก นอกจากจบกันตรงนี้แล้วเริ่มใหม่

 

สิ่งที่ดีสำหรับอาร์เซนอล คือมันเป็นการตัดสินใจในระหว่างที่พวกเขายังพอมี ‘เวลา’ ‘โอกาส’ และ ‘ความหวัง’ สำหรับฤดูกาลนี้อยู่

 

และสำหรับแฟนบอลมันก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่เจ็บปวดเหมือนวันที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ต้องบอกลาทีมไปทั้งๆ ที่ยังรัก

 

บิดเข็มนาฬิกาย้อนหลังกลับไปเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว อาร์เซนอลจำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาตร์ของสโมสร ด้วยการขอให้ยอดผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ไปจากสโมสรที่เขาทำงานมาถึง 22 ปีเต็มไปจากสโมสรเสีย

 

เหตุผลของการตัดสินใจครั้งนั้นคือการที่ทุกฝ่ายเชื่อว่า เวนเกอร์ไม่สามารถที่จะนำอาร์เซนอล กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง หลังทีมมีทีท่าจะตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

 

พวกเขาต้องการก้าวเดินไปสู่อนาคต และคนที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมสำหรับการจะพาทีมไปสู่อนาคตคือ อูไน เอเมรี กุนซือชาวสเปน ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมระดับท็อปคนหนึ่งของวงการ  มีความสำเร็จเป็นรูปธรรมกับเซบียา และปารีส แซงต์ แชร์กแมง 

 

 

การเลือกเอเมรีในเวลานั้นดูเหมือนจะมั่นใจได้มากกว่าการดึงอดีตกัปตันทีมอย่าง มิเคล อาร์เตตา ที่แม้จะเป็นมือขวาของโคตรกุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำทีมชุดใหญ่เลย

 

ในฤดูกาล 2018-19 อาร์เซนอลอาจจะเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมคอมมิวนิตี้ชีลด์ ก่อนจะพ่ายต่อเชลซี ในเกมเปิดฤดูกาลใหม่ แต่หลังจากนั้นพวกเขาชนะรวดถึง 11 นัด ก่อนจะทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันรวมถึง 22 นัด ก่อนจะไปพ่ายต่อ เซาแธมป์ตัน ในช่วงเดือนธันวาคม

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นมันดูคล้ายว่ายักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนเหนือกลับมาเดินถูกทางอีกครั้ง

 

แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

 

อาร์เซนอลค่อยๆ ทำผลงานตกต่ำลงอย่างช้าๆ ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล สุดท้ายพวกเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับ 5 แม้ว่าคู่แข่งร่วมลอนดอนอย่างสเปอร์ส และเชลซี จะขยันทำแต้มหล่นไม่น้อยก็ตาม แต่กันเนอร์สไม่เคยฉกชิงความได้เปรียบนั้นได้

 

อย่างไรก็ดี เอเมรีสามารถพาทีมเข้าชิงยูโรปาลีก รายการถนัดของเขาได้สำเร็จ ซึ่งหากพวกเขาชนะในเกมที่บากู สังเวียนนัดชิงที่อาเซอร์ไบจาน ก็ยังสามารถเข้าแข่งในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฐานะแชมป์ของรายการ

 

น่าเสียดายที่พวกเขาพ่ายขาดลอยถึง 4-1 (แม้ว่าความรู้สึกจะไม่แย่นัก เพราะสเปอร์สก็แพ้ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกต่อลิเวอร์พูลเช่นกัน) 

 

อย่างไรก็ดีมันไม่ถึงกับเป็นฤดูกาลที่แย่นัก มีประกายของความหวังให้เห็นและรู้สึกชื่นใจบ้าง

 

ช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซนอลได้เอดู อดีตกองกลางชาวบราซิลกลับมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค ตำแหน่งที่ทีมขาดคนมานาน

 

พวกเขายังลบคำสบประมาทเรื่องการซื้อผู้เล่นด้วยการลงทุน 80 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว นิโคลัส เปเป้ กองหน้าอนาคตไกลจากลีลล์ มาร่วมทีม

 

และในฤดูกาลนี้ ช่วงแรกพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดี โดยแพ้เพียงแค่เกมเดียวจาก 11 นัด เพียงแต่จู่ๆ สถานการณ์ในทีมก็เริ่มพลิกผันแบบน่าใจหาย

 

และดูเหมือนปัญหาภายในทีมที่เกิดขึ้นจะยากและมากเกินกว่าที่เอเมรี จะแก้ไขมันได้ทันเวลา

 

ทีนี้หากจะมองให้ลึกลงไปในรายละเอียดของสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้ ก็ต้องบอกว่ามันเกิดขึ้นจากหลายเหตุผลประกอบกันครับ เช่น

 

 

เรื่องที่ 1 คือการบริหารคน (Man Management)

 

เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนสำคัญที่สุดของเอเมรี ซึ่งความจริงแล้วจะบอกว่าเขาเองผิดพลาดมากก็ไม่เชิง เพราะในภาพรวมแล้วถือว่าทุกอย่างค่อนข้างอยู่ในการควบคุม

 

แต่เขาพลาดในการบริหารนักเตะระดับคีย์แมนของสโมสรอย่าง เมซุต โอซิล 

 

กรณีของโอซิล อย่างที่แฟนบอลที่ติดตามฟุตบอลอังกฤษดีน่าจะพอทราบครับว่าอดีตสตาร์ทีมชาติเยอรมนีถูกบีบให้กลายเป็นส่วนเกินในทีมของเอเมรี แบบที่แฟนบอลเองก็ไม่ค่อยเข้าใจในเหตุผลนัก

 

จริงอยู่ที่ฟอร์มของโอซิล ไม่สู้ดีมาเป็นระยะเวลานาน แต่การตัดสินใจที่จะตัดเขาออกจากทีมโดยไม่มีการพูดหรือปริปากใดๆ ให้ชัดเจน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกของคนจำนวนมาก ไม่เฉพาะผู้เล่นในทีมที่เกิดคำถาม แต่ยังรวมถึงแฟนบอลที่ไม่พอใจที่สโมสรจับนักฟุตบอลที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของสโมสร (ซึ่งก็เป็นอีกการตัดสินใจที่ผิดพลาดของอาร์เซนอล) ไว้ข้างสนามโดยไม่คิดใช้งาน

 

หากจะเรียกการตัดสินใจนี้เป็นการเดิมพัน ก็ต้องบอกว่าเอเมรี ‘เจ๊ง’ ครับ

 

เช่นกันกับการเลือกกัปตันทีม นักเตะที่สำคัญที่สุดของสโมสร แต่กลับปล่อยให้นักเตะในทีมโหวตเลือกกันเองเป็นการภายใน

 

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคนที่ได้รับเลือกคือ กรานิต ชากา กองกลางฮาร์ดแมนชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่รักของเพื่อนในทีมก็จริง แต่เขาไม่ใช่คนที่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอล และสุดท้ายความตึงเครียดก็นำไปสู่การแตกหักระหว่างทั้งสองฝ่ายในเหตุการณ์อื้อฉาวที่เกิดขึ้น (hestandard.co/bullying-in-sport/

 

สุดท้ายเอเมรี ก็ต้องตัดสินใจปลดชากาพ้นจากตำแหน่ง และเลือกคนใหม่อยู่ดี

 

 

เรื่องที่ 2 คือการสื่อสาร (Communication)

 

หนึ่งในสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมากทั่วโลกที่ต้องทำงานในต่างแดนที่ไม่ใช่บ้านเกิด คือเรื่องของกำแพงภาษา ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงาน และในการสานความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน

 

สำหรับเอเมรี ความจริงดูเหมือนเขาจะไม่มีปัญหา เพราะตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 เขาไม่ได้ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาสเปน แต่กลับให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษทันที

 

มันก็ควรจะตีความได้ว่า เอเมรีน่าจะปรับตัวเข้ากับการทำงานกับอาร์เซนอลได้ไม่ยาก

 

แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นคือ แม้เอเมรีจะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ เพราะเขาพูดได้ไม่ดีพอ

 

ลูกทีมจำนวนมาก ‘ไม่เก็ต’ ในสิ่งที่เขาพูด และทำให้การทำงานร่วมกันเต็มไปด้วยความยากลำบาก

 

ลองจินตนาการดูนะครับว่า หากคนหนึ่งพูด A แต่อีกคนเข้าใจเป็น B สุดท้ายผลลัพธ์มันออกมาเป็น C เฉยเลย

 

เรื่องนี้ความจริง แล้วเป็น ‘จุดอ่อน’ ที่สำคัญของเอเมรี เพราะเมื่อครั้งที่เขาคุมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฝรั่งเศสก็เกิดปัญหาแบบนี้เช่นเดียวกัน 

 

สุดท้ายก็เกิดระยะห่างระหว่างใจ

 

 

เรื่องที่ 3 คือความรู้ความเข้าใจในเกม (Game Insight)

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่สุดในหมู่ปัญหาของเอเมรี เพราะภาพลักษณ์ของกุนซือชาวสเปนรายนี้เขาคือจอมแท็กติกคนหนึ่ง และในการทำงานกับอาร์เซนอล เราก็เคยได้เห็นการจัดแท็กติกที่น่าตื่นเต้นหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงแรกของการคุมทีมที่ส่วนใหญ่จะออกมาได้ผลดี

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหาในเวลาต่อมาคือ การจัดแท็กติกแบบแปลกๆ ของเขาไม่ใช่จะได้ผลดีเสมอไป พูดให้ตรงกว่านั้นคือในระยะหลังผลลัพธ์นั้นน่าส่ายหัวเป็นส่วนใหญ่

 

เอเมรีสลับและปรับแท็กติกบ่อยจนเกินไปจนกลายเป็นความสับสน ทีมขาดความชัดเจน ไม่มีทิศทางที่แน่นอน

 

จากที่เชื่อมั่น ในระยะหลังนักเตะอาร์เซนอลจำนวนมากเริ่มขาดความเชื่อถือในตัวเอเมรี พวกเขาไม่เชื่อทั้งในแท็กติกการเล่นที่จัดวาง และไม่เชื่อในการแก้ไขเกมระหว่างการแข่งขัน

 

นี่คือเรื่องหลักๆ ที่เป็นปัญหาของเอเมรี ที่สุดท้ายนำไปสู่เรื่องของผลการแข่งขันที่ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งท้ายที่สุดเมื่อผลงาน ‘ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย’ ก็ทำให้บอร์ดบริหารของอาร์เซนอล ต้องตัดสินใจที่จะแยกทางกับเขาตั้งแต่ตอนนี้

 

อย่างไรก็ดีการปลดเอเมรี เป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นครับ เพราะอาร์เซนอลมีปัญหาภายในที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่สูงสุดของสโมสรอย่างเจ้าของที่ไม่ให้ความสำคัญกับการทำให้ทีมกลับสู่วงโคจรของการเป็นทีมระดับท็อปของประเทศ มาจนถึงผู้บริหารชุดใหม่ที่ยังไม่ดีพอจะกำหนดทิศทางความสำเร็จให้ทีมได้ และนักเตะภายในทีมที่เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายทีมแล้วต้องบอกว่า ‘ไม่ดีพอ’ 

 

ในวงเล็บว่าไม่ใช่แค่เรื่องฝีเท้า แต่ยังเป็นเรื่องของทัศนคติในการเล่นด้วย

 

แต่หากทีมที่เคยตกจากฟ้าอย่างลิเวอร์พูล ยังกลับมาเป็นทีมระดับท็อปของยุโรปได้ภายในเวลาเพียงแค่ 5 ปี หากอาร์เซนอลสามารถหาคนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการทีม ที่เป็นผู้นำของสโมสร ก็มีโอกาสที่องค์ประกอบอื่นๆ จะดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน และก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

 

สำหรับชื่อที่ปรากฏในเวลานี้สองรายก็ถือว่าดีครับ (โดยระหว่างนี้จะเป็น เฟรดริก ลุงเบิร์ก อดีตมิดฟิลด์ไดนามิกที่ได้คุมทัพแทนเป็นการชั่วคราว)

 

นูโน เอสปิริโต ซานโต ผู้จัดการทีมวูล์ฟส พิสูจน์ตัวเองในสองฤดูกาลบนพรีเมียร์ลีก (และอีกหนึ่งฤดูกาลในการนำวูล์ฟสกลับสู่ลีกสูงสุด) ด้วยบุคลิกและฝีมือแล้วถือว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่น่าจับตามอง เพียงแต่การจะดึงตัวมาในเวลานี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป โดยเฉพาะกับนูโน ที่มีสายสัมพันธ์พิเศษกับเจ้าของสโมสร และซูเปอร์เอเจนต์อย่าง ปินี ซาฮาวี ที่เป็นคีย์แมนคนสำคัญ

 

อีกรายคือ โปเชตติโน ที่คนจำนวนไม่น้อยแอบหวังว่ากุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการรับตำแหน่งกุนซืออาร์เซนอล เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังถูกปลดจากสเปอร์ส

 

ด้วยฝีไม้ลายมือไม่มีอะไรต้องสงสัย ส่วนความตกต่ำกับสเปอร์สนั้นเป็นเรื่องของ ‘วัฏจักร’ 

 

เพียงแต่บอร์ดบริหารของกันเนอร์สจะกล้าพอไหมที่จะส่งเทียบเชิญ?

 

แน่นอนว่าอยู่ที่ตัวของโปเชตติโนเองด้วยว่าหัวใจเขาใหญ่พอที่จะเป็น Judas เหมือนโซล แคมป์เบลล์ อดีตกัปตันไก่เดือยทองไหม?

 

อยากรู้เหมือนกันนะครับเนี่ย ว่าไหม?

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising