วานนี้ (31 สิงหาคม) รายงานด้านสิทธิมนุษยชนที่จัดทำขึ้นภายใต้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ชี้ตรวจพบแนวโน้มความเป็นไปได้ที่ทางการจีนอาจก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในมณฑลซินเจียงของจีน
โดยรายงานฉบับดังกล่าวอ้างว่า จีนได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อมุสลิมชาวอุยกูร์ รวมถึงชนกลุ่มน้อยๆ อื่นๆ ในจีน ซึ่งทางการจีนให้การปฏิเสธ ทั้งนี้ยังอ้างอีกว่า ทางการจีนใช้กฎหมายด้านความมั่นคงของชาติที่คลุมเครือจัดการต่อชนกลุ่มน้อย รวมถึงจัดตั้งระบบกักขังตามอำเภอใจ ปฏิบัติกับนักโทษราวกับเป็นผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาและมีเหตุเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
นอกจากนี้ชนกลุ่มน้อยในจีนยังถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาตามที่ทางการจัดไว้ให้ จำนวนไม่น้อยถูกคุมกำเนิดและควบคุมการวางแผนครอบครัวอย่างเลือกปฏิบัติ
UN แนะให้ทางการจีนเดินหน้าปล่อยบุคคลที่ถูกพรากเสรีภาพอย่างไม่เป็นธรรมในทันที พร้อมทั้งชี้ว่าการกระทำบางอย่างของทางการจีนอาจเข้าข่ายการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษชนคาดการณ์ว่า มีผู้คนกว่า 1 ล้านคนถูกกักตัวอยู่ภายในแคมป์ในมณฑลซินเจียงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ขณะที่ทางการจีนยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมชี้ว่าแคมป์ดังกล่าวที่จัดตั้งขึ้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการกับภัยการก่อการร้ายภายในประเทศ
โดยรายงานฉบับนี้ได้รับการเผยแพร่ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของ มิเชล บาเชเลต์ อดีตประธานาธิบดีหญิงคนแรกของชิลีที่เข้ารับตำแหน่งสำคัญนี้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 4 ปี เธอเดินหน้าตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีนอย่างจริงจัง และมีความพยายามของทางการจีนที่กดดันไม่ให้เธอเผยแพร่รายงานฉบับนี้ โดยมองว่า รายงานฉบับดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของละครตลกที่ถูกจัดฉากขึ้นโดยมหาอำนาจตะวันตก
ทางด้าน โซฟี ริชาร์ดสัน ผู้อำนวยการ Human Rights Watch ในจีน ระบุว่า สิ่งที่รายงานค้นพบสะท้อนให้เห็นว่าทำไมทางการจีนถึงต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อที่จะป้องกันการเผยแพร่รายงานฉบับดังกล่าว
ภาพ: Fabrice Coffrini / AFP
อ้างอิง: