กูรูเตือนชาติเอเชียรับมือราคาน้ำมันพุ่งจากวิกฤตยูเครน ราคาเบรนต์จ่อทะลุ 100 ดอลลาร์ ขณะที่อินเดียเสี่ยงเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เนื่องจากเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ส่วนจีนส่อได้อานิสงส์จากการยกระดับการค้ากับรัสเซีย
ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเริ่มทยอยออกมาให้คำแนะนำบรรดาผู้นำชาติต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียในการเตรียมความพร้อมรับมือกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้น กระนั้นกูรูส่วนใหญ่ต่างมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ไม่มากนัก ซึ่งเอเชียถือเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของรัสเซีย
ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ชาติเอเชียทำใจเตรียมพร้อมตั้งรับให้ดีก็คือ ราคาน้ำมันที่จะปรับตัวแพงขึ้น โดยรัสเซียถือเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรจะทำให้ยุโรปเสี่ยงเผชิญกับภาวะน้ำมันขาดตลาด เพราะน้ำมันส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะในพื้นฝั่งยุโรปตะวันออก ล้วนซื้อมาจากรัสเซียเกือบทั้งหมด
เจฟฟรีย์ ฮัลลีย์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ OANDA กล่าวว่า สถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์มีสิทธิ์พุ่งขยับแตะ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในระยะเวลาอันใกล้นี้
ด้าน เอียน ฮอลล์ รองผู้อำนวยการสถาบันกริฟฟิธเอเชียในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า อินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก จะเป็นหนึ่งในประเทศที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ โดยตัวแทนอินเดียในสหประชาชาติ (UN) ยอมรับว่า วิกฤตความขัดแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ดังนั้นจึงต้องใช้ความพยายามบากบั่นอย่างมากในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ด้าน ประธานาธิบดีมุนแจอิน ของเกาหลีใต้ ได้ออกมาแสดงความกังวลว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจมีจำนวนมาก และกล่าวว่า รัฐบาลของตนจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่าการหยุดชะงักของพลังงาน ธัญพืช และวัตถุดิบ เป็นไปในวงจำกัด รวมถึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพอธิปไตยของยูเครน
ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาประณามการกระทำของรัฐบาลรัสเซียที่เป็นการก้าวก่ายกิจการภายในและละเมิดอธิปไตยของยูเครนอย่างร้ายกาจ ก่อนระบุว่า ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมกับสหรัฐฯ หากมีการคว่ำบาตร บวกกับเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นก็ช่วยเป็นปราการป้องกันชั้นดีสำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกด้วย โดยหลายฝ่ายมองว่า สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นถือเป็นที่หลบภัยสำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ เอลิเซีย การ์เซีย-เฮอร์เรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ Natixis ในเกาะฮ่องกง พบว่า การคว่ำบาตรรัสเซียโดยสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ส่งผลให้จีนในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 4 ในส่วนของภูมิภาคเอเชีย ได้ประโยชน์อย่างชัดเจน โดยหลายฝ่ายคาดว่าเมื่อต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก รัสเซียย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมากระชับความสัมพันธ์กับจีนและชาติอื่นๆ ในเอเชีย
ขณะเดียวกันสำนักข่าว Reuters ได้เผยผลโพลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ตลาดและบรรดาโบรกเกอร์ชั้นนำทั่วโลกราว 120 คน เกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก พบว่า แต่เดิมตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้มีแนวโน้มตกอยู่ในภาวะผันผวนที่จะมีการเติบโตแบบไม่หวือหวามาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดวิกฤตขัดแย้งเกี่ยวกับยูเครนอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากปัจจัยกังวลด้านเงินเฟ้อกดดันให้ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก นำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยและยกระดับนโยบายการเงินให้รัดกุมมากขึ้น
แนวโน้มดังกล่าวจึงส่งผลให้ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในปีนี้ไม่เติบโตอย่างหวือหวาเหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพียงแต่ความตึงเครียดในยูเครนเข้ามาฉุดความเชื่อมั่นที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วให้ลดลงไปอีก ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อรอดูสถานการณ์กันก่อน
ทั้งนี้ ผลโพลคาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.5% ในช่วงสิ้นปี 2022 นี้ ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์เมื่อช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่น จะเพิ่มขึ้น 11.9% มาอยู่ที่ 30,100 จุดในช่วงสิ้นปีนี้ ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 31,000 จุด
ในส่วนของสถานการณ์ราคาน้ำมัน สำนักวิจัย หรือ Global Research ของ Bank of America ระบุว่า ราคาขายน้ำมันดิบเบรนต์มีแววปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 5-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากว่าสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนย่ำแย่ลง แต่ราคาก็อาจจะลดลงเฉลี่ย 2-4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากว่าสถานการณ์สามารถคลายความตึงเครียดได้
การคาดการณ์ดังกล่าวหมายความว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนต์มีสิทธิ์ขยับขึ้น 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงกลางปี ท่ามกลางดีมานด์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นถึง 3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม หากอิหร่านสามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับชาติตะวันตกก็จะสามารถปรับราคาน้ำมันให้ลดลงได้ โดยในมุมมองของ Bank of America มองว่า ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบเบรนต์ควรอยู่ที่ 60-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพื่อรักษาตลาดน้ำมันให้สมดุลไปจนถึงปี 2027
อ้างอิง:
- https://www.aljazeera.com/economy/2022/2/22/asia-braces-for-economic-fallout-of-ukraine-crisis
- https://www.channelnewsasia.com/business/global-stock-market-outlook-modest-even-russia-ukraine-escalation-reuters-poll-2513786
- https://www.channelnewsasia.com/business/oil-could-jump-us20-if-ukraine-crisis-worsens-says-bofa-2513246
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP