×

สิ่งที่ได้เห็นจากเกม ‘มินิ UCL’ ที่สิงคโปร์

03.08.2023
  • LOADING...
UCL

เจอร์เกน คล็อปป์ เดินเข้ามาในห้องแถลงข่าวด้วยสีหน้าที่ยากจะบอกความรู้สึกได้

 

ลิเวอร์พูลของเขาทิ้งโอกาสที่จะเก็บชัยชนะเหนือบาเยิร์น มิวนิก ทั้งๆ ที่ออกนำไปก่อนถึง 2-0 (โคดี กักโป และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค) และอีกครั้ง 3-2 (หลุยส์ ดิอาซ) ทั้งยังมีโอกาสอีกมากมาย แต่ไม่หนักแน่นพอ สุดท้ายพ่ายให้แชมป์บุนเดสลีกาที่มีรุ่นน้องอย่าง โธมัส ทูเคิล คุมทัพ ไปด้วยประตูชัยสุดสวยของ ฟราน คราดซิก แบ็กซ้ายดาวรุ่งในช่วงท้ายเกม

 

จับน้ำเสียงของคล็อปป์ เขาไม่ได้ถึงกับดูเดือดดาลอะไรนัก แต่ก็พอสัมผัสได้ถึงบางจุดที่เขายังไม่พอใจและความรู้สึกของความว่างเปล่า

 

ลิเวอร์พูลตัดสินใจเลือกการกลับมาทัวร์เอเชียอีกครั้งในปีนี้เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะจากประสบการณ์ในปีที่แล้วพอจะบอกได้ว่า การเดินทางมาทัวร์เอเชียนั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักสำหรับการเตรียมทีม

สิ่งที่แตกต่างกันออกไปคือ ในปีนี้มีความพยายามที่จะ ‘ถอดบทเรียน’ ที่ได้รู้จากเมื่อปีกลาย มีการวางแผนงานใหม่ โดยจุดสำคัญคือ การที่ต้องมีแคมป์แบบ Intensive ในยุโรปก่อน ซึ่งในปีนี้เลือกแคมป์ที่ประเทศเยอรมนี เพื่อฟื้นฟูและสร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่อย่างถูกต้อง เพื่อให้พร้อมสำหรับศึกหนักในฤดูกาลหน้า

 

UCL

 

จากนั้นเมื่อถึงเวลาต้องเดินทางมาทัวร์ ลิเวอร์พูลเลือกจุดหมายเพียงแห่งเดียวคือสิงคโปร์ ซึ่งปีนี้พยายามมากขึ้นในการเป็น Hub สำหรับเกมฟุตบอลอุ่นเครื่องในเอเชียในรายการ Singapore Festival of Football

 

การอยู่ที่ประเทศเดียว หมายถึงการลดการเดินทางที่จะสูญเสียทั้งเวลาและพลังงาน เปลี่ยนกลับมาเป็นโอกาสในการเตรียมทีมที่เข้มข้นแทน

 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าความ ‘Intensity’ ซึ่งเป็นปรัชญาในการเล่นของลิเวอร์พูลยุคนี้ การเตรียมทีมในประเทศที่มีฐานแฟนบอลมันไม่สามารถทำได้มากมายขนาดนั้น เมื่อนักฟุตบอลในทีมยังถูกรบกวนจากกิจกรรมต่างๆ มากมาย รวมถึงแฟนฟุตบอลที่มารอคอยเป็นจำนวนมาก 

 

ที่ผมพอจะรู้สึกได้คือ ในปีนี้นักเตะจากเมอร์ซีย์ไซด์พยายาม ‘เซอร์วิส’ แฟนมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว โดยไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ได้รับการบรีฟมา หรือเป็นเรื่องที่พวกเขาเต็มใจจะทำให้เพื่อตอบแทนน้ำใจของแฟนฟุตบอลกันแน่

 

ถ้าเรามองเป็นเรื่องของการ Give and Take ก็ถือเป็นเรื่องที่สวยงาม

 

คล็อปป์บอกแบบตรงไปตรงมาตั้งแต่ในการแถลงข่าวก่อนเกมว่า การเดินทางมาทัวร์แบบนี้มันไม่ได้สบายหรอก ไหนจะเรื่องสภาพอากาศ ไหนจะกิจกรรมต่างๆ เพียงแต่การที่ต้องเดินทางมาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะนักฟุตบอลทุกคนในทีมรวมถึงตัวเขาเองจะได้รู้ว่าที่มีกินมีใช้ในทุกวันนี้ก็เพราะใคร

 

สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ การทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมหรือการลงสนามจริง

 

และสิ่งที่ได้เห็นคือ ลิเวอร์พูลก็พยายามแล้วจริงๆ ในการสู้กับทีมระดับชั้นนำของยุโรปอย่างบาเยิร์น มิวนิก ที่แม้จะอยู่ในช่วงของความพยายามตั้งหลักใหม่ หลังเมาหมัดจนเกือบเสียแชมป์บุนเดสลีกาให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาลที่แล้ว

 

ปัญหาคือพวกเขายังสู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทีมหรือความสามารถเฉพาะตัวของนักฟุตบอล

 

นักเตะที่น่าประทับใจที่สุดของลิเวอร์พูลในเกมนี้คือ โดมินิก โซโบสไล กองกลางตัวใหม่ที่มีโอกาสสูงจะยึดตัวจริง ซึ่งแม้จะไม่สามารถวาดลวดลายอะไรได้ถนัดถนี่นัก เพราะการต่อสู้ในพื้นที่แดนกลางกับบาเยิร์น มิวนิก เป็นงานที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก

 

แต่อย่างน้อยเขาก็แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ผู้จัดการทีมอย่างคล็อปป์ไม่รักไม่ได้นั่นคือ ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งและความเข้าใจในการเล่นเพรสซิง ซึ่งเป็นหลักสูตรพื้นฐานในระบบการเล่นของทีมนับตั้งแต่ปี 2015

 

สตาร์ชาวฮังกาเรียนเป็น Trigger คอยกดปุ่ม ‘Press’ ให้ลิเวอร์พูล ด้วยการวิ่งจากแดนกลางขึ้นไปกดดันบาเยิร์น มิวนิก ถึงตัวสุดท้ายคือ แยน ซอมเมอร์ ผู้รักษาประตู โดยไม่ได้ทำครั้งเดียว แต่ทำเป็นสิบๆ ครั้ง และมีหลายครั้งที่การเพรสของเขานำไปสู่การตัดบอลได้ของลิเวอร์พูล

 

UCL

 

โซโบสไลในความรู้สึกของผมเหมือนเป็นส่วนผสมของนักเตะ 2 คนที่คล็อปป์รักมากที่สุด

 

คนหนึ่งคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีมที่ตัดสินใจเลือกรับข้อเสนอจากซาอุดีอาระเบียและอำลาทีมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในแง่ของความพยายามและความเป็นผู้นำคือสิ่งที่ผมมองเห็นจากนักเตะที่ย้ายมาจากแอร์เบ ไลป์ซิก

 

อีกหนึ่งคนคือ อดัม ลัลลานา นักเตะที่คล็อปป์รักมาก แต่โชคชะตาไม่อำนวยให้เขามากนักกับลิเวอร์พูล และสุดท้ายอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาล 2019/20 ที่ทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก และยุติการรอคอยแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี

 

ลัลลานาเคยเป็น Trigger ให้กับทีมของคล็อปป์ในยุคแรกมาก่อน และในชั้นเชิงการเล่น โซโบสไลก็มีไม่ได้น้อยไปกว่าอดีตขวัญใจของแฟนลิเวอร์พูล

 

นอกเหนือไปจากนั้นผมให้คะแนนความทุ่มเทกับนักฟุตบอลเกือบทุกคนที่ใส่กันแบบเต็มที่ ทำให้เกมที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์แทบจะกลายเป็นเกม ‘มินิแชมเปียนส์ลีก’ 

 

โดยเฉพาะในกลุ่มของ New Kids in the Block (เอ๊ะ หรือจะบอกว่า New Kop ดี?) อย่าง เบน โด๊ก, บ็อบบี คลาร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์ และ จาร์เรลล์ ควานซา ดาวรุ่งจากทีมเยาวชน ที่ไม่ปล่อยให้โอกาสที่ได้แสดงฝีเท้าในช่วงพรีซีซันผ่านไปอย่างไร้ค่า

 

โด๊กมีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวทดแทนของซาลาห์ได้เลยทีเดียวในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่สตาร์อียิปต์ต้องไปรับใช้ชาติในศึกแอฟริกันคัพออฟเนชันส์ในช่วงต้นปี

 

จังหวะการลากเลื้อย การพลิกบอล ความแข็งแกร่งที่เอาชนะกองหลังบาเยิร์น มิวนิกได้ และหัวใจที่ห้าวหาญของเขา สอบผ่านสบายๆ เหลือแต่เพียงจังหวะจะโคน การตัดสินใจ และความเนี้ยบในการเล่น ที่ยังมีน้อยตามประสาเด็กหนุ่ม

 

อย่างไรก็ดี จุดที่น่ากังวลของลิเวอร์พูลยังคงอยู่ และดูเหมือนจะเริ่มชัดยิ่งกว่าเก่า

 

การตัดสินใจปรับระบบการเล่นใหม่เป็น 3-2-2-3 โดยให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นศูนย์กลางของทีม มีความเสี่ยงเป็นดาบสองคมเช่นกัน 

 

อย่างแรกคือ แม้เทรนต์จะดูดีในการเล่นเป็น ‘ควอเตอร์แบ็ก’ แต่ความเข้าใจในการเล่นตำแหน่งนี้ยังน้อยมาก ซึ่งเห็นได้ชัดเมื่อเจอกับเจ้าพ่อวงการ Inverted อย่าง โยชัว คิมมิช กัปตันทีมบาเยิร์น มิวนิก ที่อาจจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลที่มีความพิเศษในการเปิดบอลไกลได้แม่นยำและหวือหวา แต่การแผ่รัศมีคอนโทรลเกมของเขาทำให้แดนกลางของทีมจากบาวาเรียเหนือกว่าลิเวอร์พูลอยู่มาก

 

UCL

 

อิทธิพลของคิมมิชในแดนกลางยิ่งเวลาผ่านยิ่งเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการเป็น ‘Pausa’ หรือคนคุมจังหวะ ที่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของเกมฟุตบอลในเวลานี้

 

นักเตะที่พอจะเป็น Pausa ของลิเวอร์พูลได้อย่าง เคอร์ติส โจนส์ หรือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (ซึ่งบาดเจ็บก่อนจบครึ่งแรก แต่คล็อปป์ยืนยันว่าเจ็บไม่เยอะ) ก็ยังไม่สามารถทำได้โดดเด่นเท่า

 

โจนส์ที่ดูแล้วน่าจะต้องเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับตำแหน่งกองกลางตัวรับ ‘หมายเลข 6’ ไปก่อนเอง แม้จะเล่นใช้ได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็นเบอร์ 6 ที่หนักแน่น ไม่นับเรื่องการเล่นแอบเสี่ยงของเขา ที่อย่าลืมว่านักเตะตำแหน่งนี้พลาดเสียบอลทีอาจหมายถึงการเสียประตูของทีม

 

โดยที่เรายังไม่ได้พูดถึงเวลาที่เทรนต์ไม่ได้ลงสนามด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ใช่ฟูลแบ็กคนไหนในทีมจะเล่นทดแทนได้ในบทแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น คอสตัส ซิมิกาส, คอนเนอร์ แบรดลีย์ หรือกองกลางแท้ๆ อย่างแม็คคอนเนลล์

 

แต่จุดที่น่าเป็นห่วงมากกว่าแดนกลาง (ซึ่งหลังจากทัวร์จบจะมีนักเตะใหม่เข้ามาแน่นอน) คือเกมรับและกองหลัง ซึ่งเป็นปัญหาที่คล็อปป์ยังหาคำตอบที่ดีพอให้ทีมไม่ได้

 

โดยเฉพาะนักเตะที่ดูหมดสภาพชัดเจนอย่าง โจเอล มาติป และ โจ โกเมซ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อประตูที่เสียไปถึง 3 จาก 4 ลูก โดยบาเยิร์น มิวนิก ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการทิ้งบอลไปหลังพื้นที่รับผิดชอบของพวกเขา

 

คล็อปป์บอกว่าเป็นการเสียสมาธิ แต่ในรายละเอียดเขาคงต้องกลับไปดูอีกครั้งในการวิเคราะห์จากทีมงาน

 

ตรงนี้เองที่ผมรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า

 

เดินทางมาแสนไกล แต่สุดท้ายยังไม่พบกับคำตอบที่น่าพอใจ

 

ความจริงก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะสัจธรรมของโลกก็สอนทุกคนอยู่แล้วว่าจะคาดหวังอะไรจากการพยายามเลือกแบบเดิม

 

ทำแบบเดิมก็ได้ผลลัพธ์แบบเดิม

 

แต่เมื่อมันยังไม่สามารถทำแบบใหม่หรือเลือกแบบใหม่ได้ เพราะไม่มีความช่วยเหลือพิเศษใดๆ จากทาง FSG และบอสตัน ลิเวอร์พูลก็จะต้องเดินหน้ากันไปแบบนี้ก่อน

 

เท่าที่ได้…ได้แค่ไหนก็แค่นั้นนะ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising