สถานีโทรทัศน์ Channel NewsAsia รายงานว่า จำนวนการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในตุรกีเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อวัน หลังจากที่สกุลเงินลีรา ค่าเงินของประเทศปรับร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลตุรกี ทำให้ค่าเงินลีราร่วงลงเกือบ 40% นับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา บีบให้ชาวตุรกีเร่งมองหาแหล่งพักเงินออมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลจาก Chainalysis และ Kaiko บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนพบว่า จำนวนการซื้อขายพุ่งทำสถิติสูงสุดแตะหลักล้านครั้งต่อวันเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วงต้นปี หลังจากที่รัฐบาลประธานาธิบดี ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี สั่งปลดประธานธนาคารกลางอย่างกะทันหัน ฉุดค่าเงินลีราดิ่งลงอย่างหนักครั้งใหญ่ ก่อนที่การซื้อขายสกุลเงินคริปโตต่อวันจะลดลงเหลือ 500,000 ครั้งตามการขยับของค่าเงินลีรา
ทั้งนี้ แต่เดิมชาวตุรกีนิยมแลกเปลี่ยนเงินลีราเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐหรือทองคำเพื่อเก็บออมไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ปี 2008 ที่เกิดวิกฤตการเงินในยุโรป และทำให้ค่าเงินลีราหายไปถึง 90% กระนั้น ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ รัฐบาลตุรกีได้ปรับกฎระเบียบการแลกเปลี่ยนให้ยุ่งยากมากขึ้น ดังนั้นสกุลเงินดิจิทัลจึงกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแทน
อย่างไรก็ตาม การซื้อขายคริปโตที่เพิ่มขึ้นก็ดึงดูดความสนใจจากทางการตุรกีอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของตุรกีกล่าวชัดว่า จะมีการจัดทำกฎระเบียบใหม่เพื่อกำกับดูแลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นใหม่นี้โดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน ทางธนาคารกลางตุรกีก็ได้สั่งห้ามทำธุรกรรมคริปโต โดยให้เหตุผลว่าเป็นไปเพื่อป้องกันความเสียหายที่ “ไม่สามารถแก้ไขได้” ตลอดจนความเสี่ยงในการทำธุรกรรมต่างๆ
นอกจากค่าเงินลีราของตุรกีแล้ว ค่าเงินรูปีของอินเดียก็เผชิญหน้ากับวิกฤตอ่อนค่าลงอย่างหนักด้วยเช่นกัน โดยมีรายงานว่า ค่าเงินรูปีของอินเดียขึ้นแท่นกลายเป็นสกุลเงินที่มีประสิทธิภาพแย่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียในปี 2021 นี้
รายงานระบุว่า สกุลเงินรูปีในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ปรับตัวลดลงอีก 2.2% หลังจากที่กองทุนระดับโลกแห่ดึงเงินออกจากตลาดหุ้นอินเดีย คิดเป็นมูลค่ารวม 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นปริมาณที่สูงที่สุดในบรรดาตลาดในเอเชีย
ทั้งนี้ นักลงทุนชาวต่างชาติเริ่มมีการเทขายหุ้นอินเดีย หลังจากที่โกลด์แมน แซคส์ และโนมูระ โฮลดิ้งส์ ประกาศปรับลดแนวโน้มการเติบโตของหุ้น โดยอ้างระดับความผันผวนสูง วิกฤตการระบาดของโอไมครอน บวกกับการขาดดุลการค้าที่สูงเป็นประวัติการณ์ และความแตกต่างของนโยบายของธนาคารกลางอินเดียกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อการขยับขึ้นของสกุลเงินรูปี
อ้างอิง: