ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 โดยมีกำไรสุทธิ 2,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจากนโยบายการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าที่ได้ทำในปีที่แล้ว ซึ่งธนาคารได้ตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญไปในไตรมาส 3 ปี 2563 เพื่อเตรียมรับมือกับปี 2564 โดยแม้ว่าในปีนี้ธนาคารจะยังคงตั้งสำรองฯ ในระดับสูงกว่าปกติ แต่ก็ยังลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จึงทำให้กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นจากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อและการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนนำไปสู่การประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ยังคงเห็นแรงกดดันต่อด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา ttb ยังคงทำได้ดี ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรวมกิจการ (Integration) ก็ตาม แต่ด้วยการรักษาวินัยด้านค่าใช้จ่าย ประกอบกับการรับรู้ผลประโยชน์ด้านต้นทุนจากการรวมกิจการได้ตามแผน จึงช่วยให้ค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มขึ้น สวนทางกับรายได้ที่ชะลอตัว
โดยในไตรมาส 3 ปี 2564 ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 15,663 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,268 ล้านบาท ลดลงเช่นกันที่ 2.2%
สำหรับค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ อยู่ที่ 5,527 ล้านบาท ยังคงเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงเศรษฐกิจปกติ แต่ลดลง 19.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2563 ที่ธนาคารได้วางแผนตั้งสำรองฯ ล่วงหน้าเป็นจำนวน 6,863 ล้านบาท จึงเป็นที่มาของกำไรสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ภายใต้ภาพเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางธนาคารจะยังรักษาระดับการตั้งสำรองฯ ไว้ในระดับสูง และเน้นการประเมินความเสี่ยงของพอร์ตปัจจุบันและการจัดชั้นคุณภาพสินเชื่ออย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตสินเชื่อปกติหรือพอร์ตโปรแกรมให้ความช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12% ของสินเชื่อรวม เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการและการตั้งสำรองฯ เป็นไปอย่างเหมาะสมและเพียงพอ
ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 ยังคงเห็นแรงกดดันด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะไตรมาส 3 เป็นช่วงเวลาของการประกาศใช้มาตรการคุมเข้มขั้นสูงสุด ก่อนค่อย ๆ ผ่อนคลายลงในช่วงปลายไตรมาส
ขณะที่ผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน ปี 2564 ก็จะให้ภาพชัดเจนถึงผลกระทบจากโควิดที่ยืดเยื้อมาตลอดตั้งแต่ต้นปี เทียบกับปี 2563 ซึ่งสถานการณ์ในไตรมาส 1 ยังคงเป็นปกติ
ปิติกล่าวอีกว่า การมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ลดลงตามปริมาณธุรกรรมที่ลดลงในช่วงล็อกดาวน์ ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของธนาคารในไตรมาสที่ 3 ทรงตัวอยู่ที่ 46% และจากสถานการณ์โควิดทำให้ธนาคารต้องเลื่อนกิจกรรมและค่าใช้จ่ายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการไปในช่วงไตรมาส 4 จึงคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในไตรมาส 4 จะยังอยู่ในระดับ 47-49%
สำหรับผลดำเนินงานรอบ 9 เดือน ปี 2564 ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงาน 48,406 ล้านบาท ลดลง 5.0% จากรอบ 9 เดือน ปี 2563 ด้านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 22,597 ล้านบาท ลดลง 4.0% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 46% เป็นไปตามเป้าหมาย
ส่วนค่าใช้จ่ายสำรองฯ มีจำนวน 16,497 ล้านบาท ทรงตัวจากรอบ 9 เดือนปีก่อนหน้า เนื่องจากธนาคารยังคงตั้งสำรองฯ ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส ส่งผลให้มีกำไรสุทธิสำหรับรอบ 9 เดือน ปี 2564 อยู่ที่ 7,675 ล้านบาท ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ที่ 1.359 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ชะลอลง 2.4% จากสิ้นปีที่แล้ว เป็นผลจากการที่ธนาคารยังคงเน้นการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง ทำให้ยอดชำระหนี้คืนยังคงสูงกว่ายอดสินเชื่อใหม่ ด้านหนี้เสียอยู่ที่ 44.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 43.5 พันล้านบาท และ 39.6 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 และสิ้นปีที่แล้ว ทั้งนี้ จากฐานสินเชื่อที่ชะลอตัวจึงทำให้สัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมขยับมาอยู่ที่ 2.98% ยังคงเป็นไปตามแผนบริหารจัดการหนี้เสียและอยู่ในกรอบเป้าหมายที่วางไว้
ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1.325 ล้านล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ชะลอลง 3.5% จากสิ้นปีที่แล้ว การเคลื่อนไหวด้านเงินฝากเป็นผลจากการบริหารสภาพคล่องให้สอดคล้องกับภาวะสินเชื่อ รวมทั้งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างเงินฝากภายหลังการรวมกิจการ โดยการปรับลดสัดส่วนเงินฝากประจำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเน้นการเติบโตของเงินฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์หลัก เช่น บัญชี ttb all free ซึ่งยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ความเพียงพอของเงินกองทุนก็ยังอยู่ในระดับสูงและเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมธนาคาร โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564 อัตราส่วน CAR และ Tier I (เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.7% และ 15.6% ตามลำดับ ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5%
“สำหรับภาพรวมในไตรมาส 4 นั้น แม้ว่าการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จะช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่การฟื้นตัวไปสู่ระดับก่อนโควิดยังคงต้องใช้เวลา ดังนั้นเราจึงยังคงเน้นการดำเนินธุรกิจแบบระมัดระวัง ไม่สร้างความเสี่ยงด้วยการเร่งเติบโตสินเชื่อฝ่าคลื่นลมทางเศรษฐกิจ พร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด และรอโอกาสที่จะกลับมาเติบโตเมื่อเศรษฐกิจเอื้ออำนวย นอกจากนี้การดูแลความปลอดภัยของพนักงานก็ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญเช่นกัน” ปิติกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP