×

ttb analytics คาด GDP ไทยปีหน้าขยายตัว 3.6% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว ห่วง Fed ขึ้นดอกเบี้ยทำบาทผันผวน-ต้นทุนกู้ยืมพุ่ง

15.11.2021
  • LOADING...
GDP

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัว 3.6% จากทุกองค์ประกอบที่มีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวกลับมาได้เร็วใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด ส่วนการลงทุนภาครัฐยังขยายตัวเพิ่มขึ้น การส่งออกเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่การท่องเที่ยวมองว่าจะทยอยฟื้นตัวและต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปีในการกลับสู่ระดับปกติ

 

ttb analytics ประเมินว่า การเปิดประเทศได้เร็ว อัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น และแรงกระตุ้นต่อเนื่องจากมาตรการภาครัฐ จะเป็นปัจจัยบวกหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปีนี้ ทำให้ GDP ในปี 2564 ขยายตัว 1% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 0.3%

 

โดยล่าสุด สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2564 ปรับลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 แต่ยังคงได้แรงหนุนต่อเนื่องจากภาคการส่งออกที่เติบโต 15.3% และในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ภาคการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน รวมทั้งมีแรงขับเคลื่อนเพิ่มจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ อัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

 

ขณะเดียวกันยังคงมีแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในวงจำกัด ทำให้เศรษฐกิจโค้งสุดท้ายของปีมีทิศทางดีขึ้น และหนุนภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2564 ขยายตัวที่ 1%

 

ttb analytics เชื่อว่า ปัจจัยหนุนทางเศรษฐกิจเหล่านี้จะช่วยดัน GDP ไทยปี 2565 ให้โตต่อเนื่องที่ 3.6% โดยการเปิดประเทศได้เร็ว การคลายล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่ชัดเจนมากขึ้น เป็นปัจจัยบวกส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคและบรรยากาศทางธุรกิจที่ปรับดีขึ้น ทำให้ภาพรวมการบริโภคฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนสถานการณ์โควิดได้เร็ว

 

ขณะเดียวกันยังพบว่าความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในส่วนของสินค้าคงทน หลังสถานการณ์โควิดเริ่มมีทิศทางดีขึ้น (Pend Up Demand) สะท้อนให้เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2564 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สอดรับการเปิดประเทศที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ฟื้นคืนกลับมา รวมทั้งสถานการณ์น้ำท่วมที่คลี่คลายในหลายพื้นที่ และการเดินหน้าเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่เป็นช่วงไฮซีซันจะช่วยให้ดีมานด์รถยนต์ดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565

 

ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว และการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัว สอดคล้องดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่มีทิศทางดีขึ้น รวมทั้งได้รับผลเชื่อมโยงจากการปรับแผนโครงการลงทุนใน EEC ระยะสอง (ปี 2565-2569) เป็นวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท จากระยะแรก 1.7 ล้านล้านบาท ที่มุ่งเน้นการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม วิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุน 500,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งครอบคลุมทั้งส่วนของการลงทุนทั้งในโครงสร้างพื้นฐาน ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve)

 

ขณะที่ภาคการส่งออกปี 2565 ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย และอัตราการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่โหมดฟื้นตัว นำไปสู่ความต้องการสินค้าใกล้เคียงช่วงปกติได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า ทำให้มูลค่าส่งออกไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% เทียบกับประมาณการปี 2564 ที่จะโตได้ถึง 15.7%

 

อย่างไรก็ดี ตัวเลขส่งออกในระดับนี้นับว่าเป็นการขยายตัวที่อยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อนสถานการณ์โควิด และเป็นการขยายตัวที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมทั้งภาวะที่เศรษฐกิจอาจมีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคลง

 

ส่วนภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 7.5 ล้านคนในปี 2565 โดยเกิดจากปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ และสถานการณ์การระบาดโควิดทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวมีทิศทางดีขึ้น

 

ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 ทยอยเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหลักที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยยังคงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ทำให้ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2564 อยู่ที่ 3 แสนคน โดยคาดว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และมีแนวโน้มเร่งสูงขึ้นในปี 2567 สู่ระดับใกล้เคียงก่อนการเกิดสถานการณ์โควิด

 

ในด้านความเสี่ยง มองว่าการระบาดโรคโควิดระลอกใหม่ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ความไม่แน่นอนทั้งสายพันธุ์ปัจจุบันและสายพันธุ์ที่อาจเกิดใหม่ในอนาคต อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีน อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประชาชนและภาคธุรกิจจะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ เนื่องจากทุกหน่วยงานเร่งอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเป็นลำดับและมีมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรง นอกจากนี้ แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจมีการปรับสูงขึ้น

 

ด้านตลาดการเงิน ดอกเบี้ยระยะสั้นมีแนวโน้มทรงตัวต่อไป สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 0.50% ไปจนถึงปี 2565 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระยะฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ คาดว่าผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งหลังของปี 2565 จะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งน่าจะยังคงให้น้ำหนักกับต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจในระยะฟื้นตัวมากกว่า

 

นอกจากนี้ ttb analytics ยังคาดว่าค่าเงินบาทอาจผันผวนและมีทิศทางอ่อนค่าลง ขณะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับสูงขึ้น ทำให้สิ้นปี 2565 ค่าเงินบาทมีโอกาสแตะ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยภายนอกที่มาจากการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งหลังปี 2565 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยภายในที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเร็วๆ นี้

 

โดยประเมินว่าบอนด์ยีลด์ระยะยาวมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากความกดดันของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะยาว โดยปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลไทย (10Y) มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.90% มีโอกาสปรับตัวไปได้ถึง 2.20% ในปี 2565 เป็นสาเหตุสำคัญที่กดดันผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้และกระทบต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาคเอกชน

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising