หลังข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ตกอยู่ในภาวะชะงักงันนับปี สืบเนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจขอถอนตัว เพราะเห็นว่าสหรัฐฯ สูญเสียผลประโยชน์จากการค้าที่ไม่เป็นธรรมอย่างมหาศาลนั้น ล่าสุดดีลการค้าระดับไตรภาคีระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก มีโอกาสฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หลังทรัมป์และรัฐบาลเม็กซิโกสามารถบรรลุเงื่อนไขในความตกลงการค้าสองฝ่ายหรือทวิภาคีได้สำเร็จ จนกลายเป็นข่าวครึกโครมในช่วงนี้
แต่ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังเจรจาหน้าสิ่วหน้าขวานกับจีน เพื่อหาทางยุติข้อพิพาทต่างๆ จากปมขาดดุลการค้าและละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
หรือนี่อาจเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ประจวบเหมาะหรือความบังเอิญเท่านั้น
ทว่า ผู้สันทัดกรณีไม่มองเช่นนั้น พวกเขาลงความเห็นว่า นี่อาจเป็นกุศโลบายของทรัมป์ เพื่อหวังเป็นแต้มต่อในการกดดันให้จีนรีบสะสางปัญหาที่ยังไม่ลงรอยกัน
แต่ก่อนจะว่ากันในประเด็นนี้ ขอย้อนกลับมาพูดถึงความหวังในการต่อลมหายใจของนาฟตาที่มีอายุ 24 ปีกันก่อน
สื่อชั้นนำในสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ทรัมป์ย้ำชัดว่า สหรัฐฯ ได้หันหลังให้กับนาฟตาแล้ว เพราะได้จัดทำข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีกับเม็กซิโกแทนที่นาฟตา พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘US-Mexico Trade Agreement’ และจะผลักดันข้อตกลงลักษณะนี้กับแคนาดาในอนาคต เพื่อแทนข้อตกลง 3 ฝ่าย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อตกลงการค้าเสรีอย่างเป็นทางการระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกยังไม่เกิดขึ้น เพราะข้อตกลงที่สองประเทศเพิ่งทำไปนั้น เป็นเพียงความตกลงในการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองฝ่าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจานาฟตาเท่านั้น
คำยืนยันนี้มาจากสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกฉบับล่าสุด เป็นฉันทานุมัติในหลักการเบื้องต้น เพื่อปรับปรุงข้อกำหนดในความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือฉบับเดิมให้มีความทันสมัยมากขึ้น และสอดคล้องกับศตวรรษที่ 21
สหรัฐฯ-เม็กซิโก ตกลงอะไรกันบ้าง
หลังการเจรจาดำเนินไปอย่างกระท่อนกระแท่นตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ในที่สุดสองประเทศซึ่งมีปมปัญหาเรื่องผู้อพยพก็ตกลงกันได้ในประเด็นการค้าภาคยานยนต์และพลังงาน ซึ่งถือเป็นชัยชนะในทางการเมืองของทรัมป์ ผู้ต้องการล้มเลิกข้อตกลงฉบับก่อน เพื่อร่างเงื่อนไขที่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ มากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านาฟตาจะมีความหวังอยู่รอด แต่หนทางข้างหน้ายังมีขวากหนามรออยู่ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องตกลงกับแคนาดาให้ได้ด้วย
ขณะที่ฝั่งเม็กซิโกยืนยันว่า จะยังไม่ประกาศรับรองข้อตกลงนาฟตาฉบับใหม่ จนกว่าแคนาดาจะจรดปากกาลงนามเสียก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร
ชัยชนะของแคนาดา
ทรัมป์ประกาศจากทำเนียบขาวว่า เขาสามารถทำข้อตกลงที่มีความพิเศษสำหรับบริษัทผู้ผลิตและเกษตรกรชาวอเมริกันในดีลการค้ากับเม็กซิโก พร้อมส่งสารเตือนแคนาดาว่า พวกเขาต้องดิ้นรนเจรจา เพื่อทำข้อตกลงใหม่กับสหรัฐฯ มิเช่นนั้นรถยนต์ส่งออกทุกคันของแคนาดาก็จะเจอกับกำแพงภาษีมหาโหดของสหรัฐฯ
แม้ถ้อยแถลงของประมุขแห่งทำเนียบขาวจะฟังดูเลวร้ายสำหรับแคนาดา แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สิ่งที่สหรัฐฯ และเม็กซิโกเพิ่งตกลงกัน แท้จริงดูดีเพียงเปลือกนอก แต่เนื้อในแทบไม่มีอะไรใหม่ เพราะในอดีตจะเห็นได้ว่าทรัมป์มักข่มขู่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่ได้ทำอย่างที่พูด
และหากว่ากันตามหลักการหรือข้อกฎหมายแล้ว ทรัมป์ไม่สามารถฉีกข้อตกลงนาฟตาได้เพียงลำพังตามอำเภอใจ แม้จะทำในนามของประเทศชาติก็ตาม เพราะการจะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดตามที่มีการเจรจากันมาหลายเดือน จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อน
และในความเป็นจริงแล้ว การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกก็ยังไม่บรรลุขั้นตอนสุดท้าย เพราะยังต้องรอ โรเบิร์ต ไลต์ทิเซอร์ ผู้แทนการค้าระดับสูงของสหรัฐฯ ยื่นเอกสารที่มีรายละเอียดลงลึกให้รัฐสภาพิจารณาในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ก่อน
จากนั้นสภาคองเกรสมีเวลา 90 วัน ในการอ่านและรับรองรายละเอียด ซึ่งกระบวนการนี้อาจกินเวลานานจนล่วงเลยสู่ช่วงเลือกตั้งกลางเทอม และเมื่อถึงเวลานั้น การรับรองข้อตกลงก็อาจไม่เกิดขึ้น หากพรรครีพับลิกันของทรัมป์สูญเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรจนไม่สามารถครองเสียงข้างมากได้อีกต่อไป
ดังนั้น สมาชิกรีพับลิกันจึงเห็นควรให้ทรัมป์เร่งผลักดันการเจรจาและรวมแคนาดาเข้าไปในข้อตกลงฉบับใหม่ด้วย โดย ออร์ริน แฮตช์ วุฒิสมาชิกรัฐยูทาห์ ซึ่งนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการด้านการคลังของวุฒิสภา ย้ำว่าข้อตกลงขั้นสุดท้ายจำเป็นต้องรวมแคนาดาเข้าไปด้วย
ส่วนแคนาดาเองก็มีพาวเวอร์ในข้อตกลงนาฟตา การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดใดๆ ในข้อตกลงฉบับนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบจากแคนาดาก่อน ขณะที่ คริสเตีย ฟรีแลนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดา ซึ่งบินไปเจรจากับคณะผู้แทนสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนกรานว่าจะเซ็นข้อตกลงที่ดีสำหรับแคนาดาเท่านั้น พร้อมย้ำว่าลายเซ็นของแคนาดามีความสำคัญกับทุกขั้นตอนการเจรจา
และหากทรัมป์ขึ้นภาษีรถยนต์ส่งออกของแคนาดาจริง ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายบริษัทของสหรัฐฯ เสียเองด้วย
รัฐบาลแคนาดาเตือนสหรัฐฯ ว่า หากแคนาดาไม่ยอมลดภาษีผลิตภัณฑ์จากนม และทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากแคนาดา ความพยายามของสหรัฐฯ อาจสูญเปล่า เนื่องจากแคนาดาไม่มีแบรนด์รถรายใหญ่ที่ผลิตในประเทศ แต่รถยนต์ส่งออกส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เอง ไม่ว่าจะเป็น GM, Ford หรือ Chrysler
และการขึ้นภาษีรถยี่ห้อ Cadillac ของ GM ก็จะทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ จ่ายแพงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งทำให้ผลกำไรของบริษัทสหรัฐฯ ลดลงด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทรัมป์ ไม่ว่าจะมองมุมไหน
ข่าวร้ายของจีน?
ในขณะที่สหรัฐฯ และจีนงัดข้อกันด้วยกำแพงภาษีจนโหมกระพือไฟสงครามการค้ากันอยู่นั้น ข่าวที่สหรัฐฯ และเม็กซิโกจับเข่าคุยกันอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับจีน
จอห์น วูดส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Credit Suisse แสดงความเห็นกับ CNBC ว่าเม็กซิโกเป็นคู่ค้าที่สำคัญของสหรัฐฯ ดังนั้นข้อตกลงที่เพิ่งทำกันจึงส่งผลบวกต่อผลงานของทรัมป์ ก่อนสู้ศึกเลือกตั้งกลางเทอมในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่ผลดีกับจีน
เขาอธิบายว่า ตอนนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกว่าจะสามารถสะสางประเด็นพิพาทกันได้หรือไม่ โดยสหรัฐฯ ต้องการให้จีนปฏิรูปโครงสร้างมากกว่าการลดการขาดดุลการค้าระหว่างกัน เพราะนั่นเป็นประเด็นที่น่าจะหาทางออกกันได้ง่ายกว่า ณ เวลานี้
“ผมสงสัยว่าทรัมป์อาจต้องการปกปิดการเจรจากับจีน ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง หรือรอไปจนกระทั่งถึงช่วงเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายน”
ความเห็นของวูดส์ได้รับการสนับสนุนจากนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร ING หลายคน ซึ่งต่างมองว่า ตราบใดที่จีนและเอเชียเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อตกลงกับเม็กซิโกฉบับใหม่ก็จะไม่คลี่คลายปัญหาอะไร
อย่างไรก็ดี ข้อตกลงการค้าฉบับดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบในการเล่นบทแข็งในระหว่างต่อรองกับจีน
“ณ เวลานี้ คณะบริหารของทรัมป์มองไม่เห็นประโยชน์จากการเป็นฝ่ายไล่ตามเจรจากับจีนในประเด็นการค้า หากจีนไม่ยอมแก้ปัญหาเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยี” นักเศรษฐศาสตร์จาก ING ให้ความเห็น
หากแนวโน้มเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกรวมมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนกันยายน ซึ่งจีนก็น่าจะตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกัน จนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
แต่กระนั้นสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการให้จีนเห็นจากดีลกับเม็กซิโกก็คือ สหรัฐฯ พร้อมที่จะถอยทุกเมื่อ หากพวกเขาได้รับการตอบสนองในเงื่อนไขที่น่าพอใจ ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับประเทศต่างๆ ที่พยายามจะเจรจากับคณะบริหารของทรัมป์
ฮวน คาร์ลอส ฮาร์ตาซานเชส ผู้อำนวยการอาวุโสของ Albright Stonebridge Group กล่าวว่า ประเทศเหล่านั้นสามารถเรียนรู้จากเม็กซิโกว่าจะเปลี่ยนการเจรจาที่ซับซ้อนและไม่คืบหน้ามาเป็นทางออกที่ดูเหมือนจะดีสำหรับทุกฝ่ายได้อย่างไร
ศึกการค้าครั้งนี้จึงมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่เคย และมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย แน่นอนว่า การเดินหมากแต่ละก้าวย่อมมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง แต่ใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือเพลี่ยงพล้ำ คงต้องรอดูกันยาวๆ แต่ผลเลือกตั้งกลางเทอมอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าทรัมป์เดินหมากตานี้พลาดหรือไม่
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: