ในช่วงบ่ายของวันที่ 30 พฤษภาคม คณะลูกขุนของศาลอาญาเขตแมนฮัตตันในมลรัฐนิวยอร์กทั้ง 12 คนได้ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ตัดสินให้ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี และผู้แทนพรรครีพับลิกันในการลงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 มีความผิดในคดีปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งโทษทางอาญาของคดีปลอมแปลงเอกสารนี้อาจทำให้ทรัมป์ต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี ซึ่งคำตัดสินนี้ถือเป็นข่าวใหญ่สะเทือนแวดวงการเมืองของสหรัฐอเมริกา เพราะนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่อดีตผู้นำสูงสุดถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาชนิดที่เป็นโทษร้ายแรง (Felony)
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึกถึงที่มาที่ไปของคดีนี้ รวมถึงวิเคราะห์ว่าคำตัดสินจะมีผลอย่างไรต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
สตอร์มี แดเนียลส์
ที่มาของคดีความนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ทรัมป์ยังไม่เข้ามาเล่นการเมือง โดยเริ่มจากที่เขานอกใจภรรยาของตัวเองไปมีความสัมพันธ์นอกสมรสกับนักแสดงหนังผู้ใหญ่อย่าง สตอร์มี แดเนียลส์ ซึ่งในเวลาต่อมาแดเนียลส์ได้ข่มขู่ทรัมป์ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 ว่าจะแฉความสัมพันธ์นอกสมรสนี้ต่อสาธารณชนเพื่อทำลายคะแนนนิยมของเขา
ซึ่งทรัมป์และทีมงานหาเสียงของเขาก็เกรงกลัวต่อคำขู่ของแดเนียลส์ จึงตัดสินใจยอมจ่ายเงินแดเนียลส์เป็นเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อเป็นค่าปิดปาก โดยที่ทรัมป์ให้ทนายคู่ใจของเขาอย่าง ไมเคิล โคเฮน เป็นคนจ่ายเงินให้แดเนียลส์ไปก่อน แล้วเขาค่อยมาจ่ายเงินคืนโคเฮนทีหลัง (เพื่อป้องกันไม่ให้มีหลักฐานว่าทรัมป์จ่ายเงินให้แดเนียลส์โดยตรง ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้นักข่าวสืบรู้หรือเป็นใบเสร็จให้แดเนียลส์ใช้แบล็กเมลเขาได้อีกรอบ)
การมีความสัมพันธ์นอกสมรสและการจ่ายเงินค่าปิดปากนั้นอาจเป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามทรัมป์นั้นมีเจตนาทำธุรกรรมอำพรางโดยที่เขาใช้เงินของบริษัท Trump Organization จ่ายคืนเงินค่าปิดปากให้กับโคเฮน แต่กลับระบุในเอกสารของบริษัทว่าเงินที่จ่ายให้โคเฮนนั้นเป็นค่าปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งนั่นเป็นความผิดทางกฎหมายในแง่การทำเอกสารเท็จ
เอกสารเท็จที่นำไปสู่การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ว่ากันตามจริงความผิดฐานทำเอกสารเท็จนั้นเป็นเพียงลหุโทษ (Misdemeanor) ตามกฎหมายของมลรัฐนิวยอร์กที่มีเพียงแค่โทษปรับโดยที่ไม่มีโทษจำคุก แต่อย่างไรก็ตามอัยการในคดีนี้เห็นว่า การทำเอกสารเท็จในครั้งนี้ของทรัมป์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเขามองว่าเงิน 130,000 ดอลลาร์สหรัฐที่โคเฮนออกให้ไปก่อนนั้นถือเป็นการบริจาคให้กับแคมเปญการหาเสียงของทรัมป์ (ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วทรัมป์จะจ่ายคืนก็ตาม) ซึ่งเกินกว่าจำนวนเงินที่กฎหมายอนุญาต (ไม่เกิน 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งผู้บริจาค) ซึ่งความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งถือเป็นโทษหนัก (Felony) ที่มีโทษถึงขั้นจำคุกได้
อดีตลูกน้องต่างซัดทอดทรัมป์
แรกเริ่มเดิมทีผู้สันทัดกรณีหลายคนมองว่าทรัมป์น่าจะหลุดจากคดีนี้ได้ไม่ยาก เพราะอัยการจำเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าทรัมป์เป็นคนอนุมัติให้โคเฮนเป็นคนจ่ายเงินค่าปิดปากให้แดเนียลส์ (นั่นคือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าโคเฮนไม่ได้ทำโดยพลการ) และต้องพิสูจน์ให้ได้อีกว่าการจ่ายเงินค่าปิดปากเป็นไปเพื่อผลทางการเมือง (ซึ่งทนายของทรัมป์ก็พยายามตอบโต้ว่า ทรัมป์ปิดปากแดเนียลส์เพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาต้องสั่นคลอน หาใช่เหตุผลทางการเมืองแต่อย่างไร)
อย่างไรก็ดีอัยการสามารถนำตัวอดีตลูกน้องและคนสนิทของทรัมป์อย่าง เดวิด เพกเกอร์ ผู้เป็นเจ้าของของนิตยสารแท็บลอยด์อย่าง National Enquirer ที่แดเนียลส์พยายามติดต่อจะแฉเรื่องความสัมพันธ์นอกสมรสของเธอกับทรัมป์, โฮป ฮิกส์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของทรัมป์ และตัวโคเฮนเอง มาเป็นพยานให้กับฝ่ายโจทย์เพื่อยืนยันว่าทรัมป์รับรู้เรื่องนี้มาแต่แรก และเจตนาของการปกปิดเรื่องนี้ก็เพื่อการชนะการเลือกตั้งในปี 2016
ผลจากการที่อัยการสามารถนำอดีตลูกน้องมาซัดทอดทรัมป์ได้ รวมถึงหลักฐานเอกสารจาก Trump Organization และเช็คสั่งจ่ายเงินโคเฮนที่ทรัมป์เป็นคนเซ็นเองนั้นก็สามารถทำให้อัยการโน้มน้าวคณะลูกขุนอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ทรัมป์มีความผิดจริงทั้ง 34 ข้อกล่าวหา
ติดคุก?
หลังจากคณะลูกขุนตัดสินให้ทรัมป์มีความผิดแล้ว สิ่งที่เราต้องดูกันต่อไปคือ ผู้พิพากษาของคดีนี้อย่างผู้พิพากษาฮวน เมอร์ชานจะตัดสินลงโทษเขาอย่างไร ซึ่งผู้พิพากษาเมอร์ชานอาจตัดสินแค่ปรับเงินหรืออาจถึงขั้นนำทรัมป์เข้าเรือนจำ (โทษสูงสุดอยู่ที่ 20 ปี) ถ้าผู้พิพากษาเมอร์ชานตัดสินให้เขาติดคุกจริง เขาจะต้องไปรายงานตัวที่เรือนจำในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ผู้พิพากษาเมอร์ชานตัดสินลงโทษจำคุกเขาจริงๆ โอกาสที่เขาจะต้องติดคุกในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้เลยคงจะเป็นไปแทบไม่ได้ เพราะทรัมป์ยังสามารถอุทธรณ์คดีไปที่ศาลอุทธรณ์และศาลสูงสุดของมลรัฐนิวยอร์กได้ และเขาก็คงจะได้รับการประกันตัวในระหว่างการสู้คดีในอีกสองศาลที่เหลือ
ผลต่อการเลือกตั้งในปี 2024
เราคงยังไม่ทราบแน่ชัดในตอนนี้ว่า ผลการตัดสินของคดีนี้จะส่งผลเสียต่อทรัมป์มากน้อยขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตาม ผลโพลก่อนหน้านี้ระบุไว้ว่า ฐานเสียงของเขามองว่าคดีนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง และมีชาวอเมริกันแค่ประมาณ 10% เท่านั้นที่ระบุว่าอาจเปลี่ยนใจจากทรัมป์ ถ้าเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดอาญา ซึ่งถ้าเราดูจากปฏิกิริยาของนักการเมืองรีพับลิกันที่ดาหน้ากันออกมาปกป้องทรัมป์หลังผลคำตัดสินออก ก็คงพอจะบอกได้ว่าฐานเสียงของเขาคงจะยังเหนียวแน่นกับเขาต่อไป แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าผลของคดีอาจทำให้คนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเขาหรือไบเดน ตัดสินใจได้ว่าพวกเขาจะหันไปเลือกไบเดน
เกาะติด การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ได้ที่ เว็บไซต์พิเศษ : เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 และ Facebook : THE STANDARD
ภาพ: Gotham / GC Images