ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันศุกร์ (14 พฤศจิกายน) สั่งยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงให้กับสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญหลายรายการ เช่น กาแฟ, โกโก้, กล้วย และผลิตภัณฑ์เนื้อวัวบางประเภท
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก เกี่ยวกับปัญหาราคาวัตถุดิบและอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้จัดจำหน่ายหลายรายได้ปรับขึ้นราคาเนื้อวัว, กาแฟ, ช็อกโกแลต และอาหารทั่วไปอื่นๆ ไปแล้ว อันเป็นผลกระทบโดยตรงจากมาตรการกำแพงภาษีที่ทรัมป์บังคับใช้มาตลอดทั้งปีนี้
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการกลับลำนโยบายของทรัมป์อย่างชัดเจน จากเดิมที่เขายืนกรานมาโดยตลอดว่ากำแพงภาษีเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องธุรกิจและแรงงานชาวอเมริกัน และมักจะอ้างว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะไม่เป็นผู้รับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น
การยกเว้นภาษีครั้งนี้ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่สหรัฐฯ ไม่สามารถผลิตได้เองหรือผลิตได้ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ เช่น กล้วยและกาแฟ รวมถึงผลไม้อื่นๆ เช่น มะเขือเทศ, อะโวคาโด, มะพร้าว, ส้ม และสับปะรด ตลอดจนชาดำ, ชาเขียว และเครื่องเทศอย่างอบเชยและลูกจันทน์เทศ
แม้ว่าการยกเว้นภาษีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดแรงกดดันต่อราคาในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวะขาดแคลนอุปทานในตลาดโลก ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อราคา โดยเฉพาะกาแฟและเนื้อวัว ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายภาษีของทรัมป์เอง
ภาษีเนื้อวัว, กาแฟ, โกโก้
การยกเว้นภาษีเนื้อวัวเกิดขึ้นหลังจากราคาพุ่งสูงมานานหลายเดือน ซึ่งส่วนหนึ่งผูกพันกับนโยบายภาษีของทรัมป์เอง
ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีที่สูงมากกับซัพพลายเออร์เนื้อวัวรายใหญ่ เช่น บราซิล (ผู้ผลิตอันดับ 2 ของโลก) ที่ต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 75% การขึ้นภาษีนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่เลวร้ายที่สุด คือในขณะที่ จำนวนปศุสัตว์ในสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 75 ปี
ภาวะอุปทานตึงตัวอย่างรุนแรง (Supply Squeeze) ได้ผลักดันให้ราคาเนื้อวัวดิบในซูเปอร์มาร์เก็ต พุ่งสูงขึ้น 12-18%
ด้านสถานการณ์ของกาแฟสะท้อนความย้อนแย้งของนโยบายภาษีได้ชัดเจนที่สุด หลังจากราคากาแฟคั่วบดในสหรัฐฯ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.41 ดอลลาร์ต่อปอนด์ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อนหน้า
นโยบายภาษี 50% ของทรัมป์ต่อกาแฟจากบราซิล ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ 1 ใน 3 ของสหรัฐฯ ได้ผลักดันต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ผู้ประกอบการร้านกาแฟและโรงคั่วต่างระบุว่าพวกเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงภาษีนี้ได้ เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ผลิตเมล็ดกาแฟที่ตนเองบริโภคเลย
รายงาน CPI เดือนกันยายนพบว่า ราคากาแฟพุ่งขึ้นเกือบ 21% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990
ขณะที่โกโก้เผชิญกับแรงกดดันด้านราคาที่คล้ายคลึงกัน แม้ว่าราคาล่วงหน้าจะปรับลดลงบ้าง แต่ก็ยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดกว่าสองเท่า มาอยู่ที่ประมาณ 5,300 ดอลลาร์ จากผลกระทบของกำแพงภาษีและภาวะผลผลิตล้มเหลวในไอวอรีโคสต์และกานา
ในเดือนตุลาคม ผู้บริหารของ Hershey คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายจากกำแพงภาษีในปีนี้สูงถึง 160-170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซ้ำเติมจากต้นทุนเมล็ดโกโก้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งผลักดันให้ราคาช็อกโกแลตค้าปลีกในช่วงก่อนเทศกาลฮาโลวีน พุ่งสูงขึ้นเกือบ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
อ้างอิง:


