เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ยักษ์ใหญ่ของไทย แสดงทรรศนะต่อสถานการณ์การค้าโลกว่า แม้กลุ่มประเทศอาเซียนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบที่ ‘ใหญ่หลวงนัก’ ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าผู้ผลิตจีนจะได้รับผลกระทบเต็มๆ จากมาตรการกีดกันทางการค้านี้ แต่กลับมองว่านี่อาจเป็นโอกาสทองของญี่ปุ่น
ในการปาฐกถาพิเศษในการประชุมประจำปี Future of Asia ของ Nikkei ณ กรุงโตเกียว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าสัวธนินท์วิเคราะห์ว่า ญี่ปุ่นอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เนื่องจากประสบการณ์ยาวนานในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
“ญี่ปุ่นผ่านการเจรจากับสหรัฐฯ มานักต่อนัก” เจ้าสัวธนินท์กล่าว “ดังนั้นผมคิดว่าญี่ปุ่นรู้ดีว่าจะรับมือกับสหรัฐฯ อย่างไร” ซึ่งความ ‘เจนจัดเวทีโลก’ นี้เองที่อาจทำให้ญี่ปุ่นพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้
เจ้าสัวธนินท์มองว่าญี่ปุ่น “สามารถใช้โอกาสนี้ในการยกระดับด้านเทคนิคของอุตสาหกรรมไฮเทคของตนเอง” นอกจากนี้ เขายังเห็นโอกาสอีกประการสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเขากล่าวว่า “ญี่ปุ่นสามารถเป็นผู้นำในอาเซียนได้ หากถือว่าตลาดอาเซียนเป็นตลาดของตัวเอง” คำแนะนำนี้เป็นการสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายบทบาทและเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น
เจ้าสัว CP ยังได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามในปัจจุบันว่ากำลังนำพาสังคมโลกไปในทิศทางที่ผิด “เราต้องการทำการค้าโดยไม่ให้พรมแดนมาเป็นอุปสรรค” เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงประโยชน์ของเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) “นั่นคือทิศทางที่โลกควรจะมุ่งหน้าไป…เพื่อให้การค้าดำเนินต่อไปได้ สันติภาพคือ ‘หัวใจสำคัญ’ ที่เราต้องการ”
นอกจากประเด็นการค้าและภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นายธนินท์ ซึ่งอาณาจักรธุรกิจเกษตรและค้าปลีก CP เริ่มต้นจากร้านขายเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ยังได้กล่าวถึงเทคโนโลยีขั้นสูงและการนำมาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง เช่น โดรนพ่นยาฆ่าแมลง และเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม (Gene Recombination) ซึ่งช่วย ‘พลิกโฉม’ การทำเกษตรแบบดั้งเดิม
“เราสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเกษตร” เจ้าธนินท์กล่าวปิดท้าย “ภาคเกษตรกรรมมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในปริมาณมหาศาล”
ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD
อ้างอิง: