×

สรุปที่เดียวจบ ซัมมิต ทรัมป์-คิม ปฐมบทแห่งความสัมพันธ์ใหม่ของสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ

12.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือพบปะกันครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางสัญญาณบวกที่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสายจากเวทีซัมมิตที่สิงคโปร์
  • คิมจองอึนรับปากเดินหน้าปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรอย่างสมบูรณ์ ขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นจะยุติการยั่วยุเกาหลีเหนือโดยการระงับซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังเตรียมยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ หากเกาหลีเหนือทำตามสัญญา

 

 

หากการทลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 เป็นเหตุการณ์สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความปรองดองของชาวเยอรมันในช่วงปลายยุคสงครามเย็นแล้ว การพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือที่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งเปรียบเหมือนการทลายกำแพงทางจิตวิทยาระหว่างสองประเทศ ก็อาจเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดองและสันติภาพถาวรบนคาบสมุทรเกาหลีได้เช่นกัน หากสองประเทศสามารถสานต่อเจตนารมณ์ในการพัฒนาความสัมพันธ์จากจุดเริ่มต้นของซัมมิตครั้งหยุดโลกในวันนี้

 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคิมจองอึนพบปะกันครั้งแรกที่โรงแรมคาเปลลาบนเกาะเซนโตซา สถานที่จัดซัมมิต เมื่อเวลา 9.05 น. ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางการจับตามองของผู้คนและสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งคู่ได้จับมือทักทายกัน ก่อนจะเดินไปตามระเบียงของโรงแรมเพื่อเข้าสู่ห้องประชุม

 

 

คิมจองอึนกล่าวขณะเดินกับทรัมป์ว่า ผู้คนทั่วโลกอาจไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์วันนี้

 

“คนจำนวนมากในโลกนี้คิดว่านี่เป็นเพียงจินตนาการจากหนังไซไฟ” คิมบอกกับทรัมป์โดยมีล่ามแปลสด

 

สำหรับการประชุมระหว่างสองผู้นำแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเป็นการหารือแบบตัวต่อตัวโดยมีล่ามฝ่ายละ 1 คน ใช้เวลาทั้งสิ้น 48 นาที โดยทรัมป์กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่าตนรู้สึกยอดเยี่ยมมากที่กำลังจะเริ่มการหารือครั้งยิ่งใหญ่ และคิดว่าซัมมิตจะประสบความสำเร็จด้วยดี นอกจากนี้เขายังเผยว่ารู้สึกเป็นเกียรติและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคิมจองอึน

 

ขณะที่คิมกล่าวว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะมาถึงจุดนี้ เพราะอคติและแนวทางปฏิบัติในอดีตได้สร้างอุปสรรค แต่เราก็สามารถฟันฝ่าสิ่งเหล่านั้นกันมาได้

 

“แน่นอนว่ามีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่ผมก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน” คิมกล่าว

 

 

หลังเสร็จสิ้นการหารือในช่วงแรก ทรัมป์และคิมได้นำคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าประชุมกันต่อแบบหันหน้าเข้าหากันบนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยฝ่ายสหรัฐฯ มี จอห์น เคลลี เสนาธิการทำเนียบขาว, ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ

 

ขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือมี พล.อ. คิมยองชอล รองประธานคณะกรรมการการทหารแห่งพรรคแรงงานเกาหลีเหนือและมือขวาของคิมจองอึน รีซูยอง รองประธานคณะกรรมการกลางแห่งพรรคแรงงาน และรียองโฮ รัฐมนตรีต่างประเทศ

 

สำหรับการประชุมช่วงที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงและสิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 11.30 น. จากนั้นทรัมป์และคิมได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน (Working Lunch)

 

หลังรับประทานอาหารเสร็จ ผู้นำทั้งสองได้เดินไปคุยไปในบริเวณสนามหญ้าของโรงแรม โดยทรัมป์ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การประชุมซัมมิตครั้งนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก และให้ผลลัพธ์ดีกว่าที่ทุกฝ่ายคาดหวังไว้

 

 

จากนั้นในช่วงบ่ายก็มาถึงช่วงไฮไลต์สำคัญของซัมมิตครั้งนี้ เมื่อทรัมป์และคิมจองอึนได้จรดปากกาลงนามในเอกสารความตกลงฉบับครอบคลุม (Comprehensive Document) ระหว่างสองประเทศ โดยผู้นำทั้งสองต่างเห็นพ้องที่จะสร้างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีรูปแบบใหม่ รวมถึงผลักดันสันติภาพให้เกิดอย่างยั่งยืนและมั่นคง และทำงานร่วมกันเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรอย่างสมบูรณ์ ภายใต้ ‘ปฏิญญาปันมุนจอมว่าด้วยสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และเอกภาพบนคาบสมุทรเกาหลี’ ที่ผู้นำเกาหลีเหนือจัดทำร่วมกับผู้นำเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังรับปากว่าจะกู้ศพทหารและเชลยศึกสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตในสงครามเกาหลีระหว่างปี 1950-1953 กลับคืนไปให้สหรัฐฯ

 

ขณะที่คิมกล่าวว่าเกาหลีเหนือยินดีที่จะละทิ้งอดีตทั้งหมดไว้เบื้องหลัง และพร้อมปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์เพื่อยุติปัญหาขัดแย้งกับสหรัฐฯ

 

 

ในระหว่างการตอบคำถามสื่อมวลชนหลังพิธีลงนาม ทรัมป์ระบุว่า “พวกเราต่างเรียนรู้ประเทศของกันและกันมากขึ้น ผมรู้ว่าเขา (คิมจองอึน) เป็นชายที่มีความสามารถ และเขาก็รักประเทศของเขาอย่างมาก เราจะพบกันอีกหลายๆ ครั้งในอนาคต”

 

พร้อมกันนี้ทรัมป์ยังยืนยันด้วยว่ากระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีจะเริ่มต้นขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว

 

จากนั้นทรัมป์และคิมได้จับมือและถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้ง ก่อนจะแยกเดินทางกลับที่พักของตน

 

สำหรับรายละเอียดของการประชุมครั้งนี้ ทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในช่วงเย็นวันเดียวกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้

 

 

สหรัฐฯ รับปากหยุดซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้

แม้ทรัมป์ยืนยันในระหว่างแถลงข่าวว่าสหรัฐฯ จะไม่ลดขีดความสามารถทางทหารในภูมิภาคเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่เกาหลีเหนือ แต่สหรัฐฯ จะยุติการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ เนื่องจากเกาหลีเหนือมองว่าเป็นการยั่วยุ

 

ทรัมป์ให้เหตุผลด้วยว่าการซ้อมรบแต่ละครั้งใช้งบประมาณมหาศาล แม้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ก็ตาม

 

“เรากำลังเจรจาทำข้อตกลงที่ซับซ้อนมาก (กับเกาหลีเหนือ) ผมจึงเห็นว่ามันอาจเป็นการไม่เหมาะสม หากเราจะจัดการซ้อมรบต่อไป” ทรัมป์กล่าว

 

อย่างไรก็ดี ทรัมป์ระบุว่าการยกเลิกซ้อมรบขึ้นอยู่กับความเป็นไปของการเจรจากับเกาหลีเหนือในอนาคตด้วย หากทั้งหมดไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ สหรัฐฯ ก็อาจพิจารณาจัดการซ้อมรบกับเกาหลีใต้ใหม่อีกครั้ง

 

 

ประเด็นสิทธิมนุษยชน

ถึงแม้จะมีกระแสข่าวก่อนหน้าซัมมิตว่า ทรัมป์จะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือขึ้นมาหารือในระหว่างการประชุมกับคิมจองอึนวันนี้ เนื่องจากเห็นว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางความสำเร็จของซัมมิตครั้งนี้ แต่ทรัมป์ยืนยันว่าสองฝ่ายมีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ ทว่าไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากนัก แต่เขาระบุว่าปัญหาสิทธิมนุษยชนจะเป็นวาระหลักในการประชุมครั้งถัดๆ ไปอย่างแน่นอน

 

กำหนดนัดหมายใหม่ระหว่างสองผู้นำ

อีกหนึ่งคำถามที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนก็คือ ทรัมป์กับคิมจะจัดซัมมิตอีกครั้งเมื่อไร ซึ่งทรัมป์ตอบว่ายังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน แต่เขาคิดว่าสองฝ่ายควรจัดการประชุมสุดยอดอีกสักครั้ง รวมถึงการประชุมแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่ของสองฝ่าย

 

 

คิมรับคำเชิญเยือนทำเนียบขาว

ในระหว่างการหารือ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เชิญคิมจองอึนไปเยือนทำเนียบขาวด้วย ซึ่งคิมก็ตอบรับคำเชิญด้วยดี แต่ทรัมป์เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

 

ขณะเดียวกันทรัมป์ก็พิจารณาเดินทางเยือนกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือด้วยหากถึงเวลาที่เหมาะสมเช่นกัน

 

เกาหลีเหนือเตรียมทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์เพิ่ม

สำหรับขอบเขตการปลดอาวุธนิวเคลียร์ถูกบรรจุเป็นวาระหลักของซัมมิตครั้งนี้ เกาหลีเหนือรับปากว่าจะทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์ที่มีอยู่ในประเทศทั้งหมด และจะเริ่มดำเนินการในเร็วๆ นี้

 

 

ใครออกค่าใช้จ่ายช่วยเกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเกาหลีเหนือจะสามารถแบกรับต้นทุนในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่ หากเกาหลีเหนือยังคงถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า สหรัฐฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ แต่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นพร้อมให้ความสนับสนุนในด้านการเงินกับเกาหลีเหนือ

 

ยกเลิกคว่ำบาตรแน่ หากนิวเคลียร์ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

ทรัมป์เปิดเผยว่าเขาจะผลักดันเกาหลีเหนือให้เร่งปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลานาน

 

“ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว คุณต้องรอช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่เมื่อใดที่คุณเริ่มกระบวนการ นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี” ทรัมป์สำทับ

 

เขายังกล่าวด้วยว่า เกาหลีเหนือจะเริ่มกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในเร็วๆ นี้แน่ ขณะที่สหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรก็ต่อเมื่อนิวเคลียร์ไม่ใช่ปัจจัยให้กังวลอีกต่อไป

 

 

คิมจองอึนจะทำตามสัญญาหรือไม่

แม้ว่าหลายฝ่ายจะวิตกว่า คิมจองอึนอาจไม่ทำตามคำมั่นสัญญาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทรัมป์เชื่อมั่นว่าคิมเป็นคนรักษาคำพูด

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังยอมรับว่าเขาอาจมีความคิดที่ผิดๆ เกี่ยวกับตัวคิมจองอึนในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนความคิดนั้นแล้ว

 

ทรัมป์ยังตอกกลับกระแสวิจารณ์ที่ว่าสหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากซัมมิตครั้งนี้ โดยย้ำว่าการประชุมครั้งนี้มอบประโยชน์ต่อทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนืออย่างแน่นอน

 

“มีแต่คนที่ไม่ชอบทรัมป์เท่านั้นที่จะบอกว่าสหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน” ทรัมป์กล่าวโดยอ้างความสำเร็จของการที่เกาหลีเหนือรับปากปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษชาวอเมริกัน 3 คนที่ถูกคุมขังในเกาหลีเหนือ

 

“ผมไว้ใจคิมจองอึน” ทรัมป์ย้ำ

 

 

อาจกล่าวได้ว่าซัมมิตระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และคิมจองอึนถือเป็นเวทีสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือจะสามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งจนหมดสิ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรคขัดขวางและต้องใช้เวลาอีกนานในการเจรจาให้ลุล่วง ทั้งปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ รวมถึงการทำตามสัญญาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่การผลัดเปลี่ยนรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนในนโยบายที่มีต่อเกาหลีเหนือ

 

ดังนั้นจึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร แต่เชื่อว่าหลายคนคงตั้งความหวังว่าสันติภาพกำลังจะเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างถาวรในท้ายที่สุด เพราะที่ผ่านมาก็อาจมีคนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนจับมือกับคิมจองอึนและนั่งลงคุยกัน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising