เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึงวันชิงชัยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองแห่งปีที่ทั่วโลกต่างจับตาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือ คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ใครจะคว้าชัยชนะไปในครั้งนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ในวันที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ คัมแบ็ก!
- หมัดแลกหมัด! EU ยอมลดภาษี EV จีนลงเล็กน้อย ส่วน Tesla ที่ผลิตในจีน ลดฮวบจาก 20% เหลือ 9% วันเดียวกันจีนโต้กลับ สอบสวน EU ทุ่มตลาดผลิตภัณฑ์นม
- ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ! EU ขู่ขึ้นภาษี EV จีน 38% MG มากสุด ตามด้วย BYD และ Geely
- สินค้าจีน (ราคาถูก) ทะลักสหรัฐฯ! ‘โจ ไบเดน’ จ่อขึ้นภาษีนำเข้า EV จีนถึง 4 เท่า เพิ่มเป็น 100%
ไม่ว่าทรัมป์หรือแฮร์ริสจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศมหาอำนาจย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแนวทางการบริหารประเทศที่เขย่าการค้าไปทั่วโลก และมีผลต่อประเทศที่ค้าขายกับตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ เช่นเดียวกับไทย
THE STANDARD WEALTH ชวนวิเคราะห์ ไทยได้-เสียประโยชน์แค่ไหน เรื่องอะไรบ้างที่คนไทยต้องรู้
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งผลกับไทย โดยสรุปจากผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย Reuters ร่วมกับ Ipsos ว่า แฮร์ริสมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ที่ 46.0% ต่อ 43.0% ขณะที่ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย FiveThirtyEight ระบุว่า แฮร์ริสมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ที่ 48.2% ต่อ 46.4% โดยมีเพียง 5.4% ยังไม่ตัดสินใจเลือก
พูนพงษ์มองว่าคะแนนนิยมอยู่ในระดับใกล้เคียงกันมาก ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยวิเคราะห์ดังต่อไปนี้
แฮร์ริส: นโยบายของแฮร์ริสมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายสำหรับชนชั้นแรงงาน, ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, เพิ่มสวัสดิการสังคม, ควบคุมราคายา/ค่ารักษาพยาบาล/พลังงานในประเทศ ซึ่งหากแฮร์ริสชนะเลือกตั้งคาดว่า
- การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศและการค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปในทิศทางเดิม อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่าจะมีการประกาศนโยบายหรือมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่
- อาจส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุน
- อาจมีแนวโน้มใช้มาตรการทางภาษีกับจีนนุ่มนวลกว่าทรัมป์ แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับจีนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไทยอาจได้ประโยชน์จาก
- ผลดีต่อการลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทไทยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เข้าร่วมลงทุนในสหรัฐฯ
- การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่จะนำมาซึ่งโอกาสในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการร่วมลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น การผลิตแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง
- นโยบายของแฮร์ริสอาจส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี 5G และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทโทรคมนาคมและซอฟต์แวร์ของไทยเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
- โอกาสในการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมที่เป็นอนาคตต่างๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ (AgriTech) ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย
อย่างไรก็ตาม อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ส่งผลให้ไทยต้องปรับเพิ่มมาตรการการผลิต เพื่อให้รักษาส่วนแบ่งตลาดภายในสหรัฐฯ ซึ่งก่อให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มที่เลี่ยงไม่ได้
รวมถึงการสนับสนุนยูเครนและอิสราเอลส่งผลกระทบทางอ้อมต่อต้นทุนพลังงานและความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจโลกในทางอ้อม และการไม่เผชิญหน้าทางเศรษฐกิจกับจีนโดยตรง ส่งผลให้สหรัฐฯ อาจต้องประสานความร่วมมือกับชาติพันธมิตร ซึ่งส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องมีจุดยืนในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ภาพ: Kevin Dietsch / Getty images
ทรัมป์: นโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ส่งผลต่อเนื่องให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย ซึ่งหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งคาดว่า
- อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในด้านนโยบายการต่างประเทศและจุดยืนบนเวทีความมั่นคงโลกในด้านภูมิรัฐศาสตร์ (ลดการให้ความช่วยเหลือประเทศที่อยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง เช่น ยูเครน และลดบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนความมั่นคงบนเวทีโลกอย่าง NATO)
- การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในด้านนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การใช้มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ จะเข้มข้นขึ้น รวมถึงสงครามการค้ากับจีนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
- มาตรการภาษีนำเข้าซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
- อาจเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
พาณิชย์ชี้ ไทยอาจได้ประโยชน์ 2 ด้าน แต่หากทรัมป์ชนะ นโยบาย America First มีผลต่อการลงทุนไทย ดังนี้
- การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทย
- ความต้องการสินค้าทดแทนสินค้าจีนจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาจได้รับผลกระทบจาก
- มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีส่งผลทางอ้อมให้ไทยมีต้นทุนในการปรับปรุงมาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับสหรัฐฯ เพื่อรักษาในตลาดสหรัฐฯ
- ส่งผลให้การลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยลดลง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การใช้มาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ ทำให้บริษัทสหรัฐฯ ที่มีฐานการผลิตในไทยพิจารณาย้ายกลับประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย
- เกิดการชะลอตัวของการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ สู่ไทย ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว การลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และนวัตกรรมจากบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในไทยลดลง
รวมถึงเกิดการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางประเภท เช่น เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี 5G ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย
ด้านภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า การเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น” โดยมีปัจจัยความกังวลต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
“ผลต่ออุตสาหกรรมไทยจะมีทั้งได้รับอานิสงส์และผลกระทบ ดังนั้น สศอ. จึงแนะผู้ประกอบการเฝ้าติดตามผลกระทบที่ต่อภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทัน”
เมื่อเร็วๆ นี้ THE STANDARD WEALTH พูดคุยกับ จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยจรีพรกล่าวว่า “ไม่ว่าตัวแทนพรรคจะเป็นเดโมแครตหรือรีพับลิกัน ทรัมป์จะกลับมา หรือแฮร์ริสจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านนโยบายสหรัฐฯ ก็ยังมองแบบคนอเมริกันคือยึดความเป็น America First สหรัฐฯ ต้องมาก่อนและไม่ยอมให้เบอร์ 2 ขึ้นมาแทนที่ การหาเสียงของพรรคการเมืองจะยังมองจีนเป็นผู้ร้ายเสมอ ถ้ายังจำได้ 4 ปีที่แล้วตอน โจ ไบเดน หาเสียงก็เป็นเช่นนี้”
ดังนั้นสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ (Trade War) จะยังเกิดขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม อาเซียนและไทยจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต
มองข้ามช็อต Trade War และภูมิรัฐศาสตร์ ยังร้อนแรง
สอดคล้องกับ ปณิธาน ปวโรฬารวิทยา รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งกล่าวในงานสัมมนา ‘US Election 2024 เจาะลึก ศึกชิงทำเนียบขาว’ ในหัวข้อ ‘เลือกตั้งอเมริกา ส่งผลอย่างไรต่อไทย’ ว่า ทั้ง 2 พรรคต่างมีนโยบายที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศเป็นหลัก
“ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ จำเป็นต้องวางแผนและเตรียมรับมือ เพราะไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็ตาม ล้วนมีผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงไทย”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องมองข้ามช็อตและเฝ้าติดตามคือสงครามการค้า, ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์, สงครามสกุลเงิน และสหรัฐฯ มองจีนเป็นภัยของประเทศ ด้วยเหตุนี้มีโอกาสที่สินค้าจีนไหลเข้ามาในไทยต่อเนื่อง
ขณะที่ในแง่การค้า เศรษฐกิจ และการเมือง “ไทยไม่ควรแสดงจุดยืนการเลือกข้าง แต่ควรวางตัวให้เหมาะสม ทำให้เป็นที่รัก สร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนจากทั้ง 2 ประเทศ”
เช่นเดียวกับ สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นโยบายต่อต้านจีนจะเกิดขึ้นและทวีความร้อนแรงขึ้น ดังนั้นไทยควรมองหาโอกาสการค้าและวางตัวเป็นกลาง
ประธาน ส.อ.ท. มองว่าจีนยังคงเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ
ขณะที่ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. มองว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แม้นโยบายของทั้ง 2 คนจะแตกต่าง แต่ก็มองจีนเป็นคู่แข่งและศัตรูหมายเลข 1
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐสมรภูมิก็ยังพบว่าคะแนนของผู้สมัครทั้ง 2 คนสูสีกัน ซึ่งต้องเฝ้าจับตารัฐตัวแปรคือเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นรัฐ Swing State
“แต่ไม่ว่าใครจะคว้าชัยก็ย่อมส่งผลไปทั่วโลกรวมถึงไทย โดยผลที่เกิดกับไทยต้องจับตาการส่งออก, สงครามการค้า (Trade War) และภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ยังร้อนแรงต่อไป”
โดยไทยจะได้อานิสงส์จากมาตรการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในบางอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีการย้ายฐานการผลิตมายังไทย โดยสินค้าจากจีนจะถูกตั้งกำแพงสูงขึ้น และอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ จะซื้อสินค้าจากจีนน้อยลง และหันมาซื้อสินค้าจากประเทศอื่นรวมถึงไทยแทน
ดังจะเห็นว่าไบเดนประกาศขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่นำเข้าจากจีน จากเดิม 25% เป็น 100% และเรียกเก็บภาษี 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม ในอุตสาหกรรมนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและแผงโซลาร์เซลล์
ทรัมป์กับการกลับมาของวลี Make America Great Again
ขณะที่นโยบายของทรัมป์นั้นจะมีความรุนแรงขึ้นกว่า โดยประเด็นหลักคือการขึ้นภาษีอย่างน้อย 10-20% จากทุกประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ แต่เพิ่มกำแพงภาษีจีนสูงถึง 60-100%
ดังนั้นจะเห็นว่านโยบายของทั้ง 2 พรรคต่างมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งทรัมป์ยังคงย้ำนโยบาย Make America Great Again ที่ให้น้ำหนักเรื่องดุลการค้าและความมั่นคงมาเป็นอันดับแรก
ส่วนนโยบายลงทุนของแฮร์ริสก็จะดำเนินนโยบายต่อจากไบเดน คือเพิ่มการเก็บภาษีจากปัจจุบัน 21% เป็น 28% เน้นการลงทุนในประเทศที่เป็นมิตร เช่น เวียดนาม, เม็กซิโก และไทย
ส่วนทรัมป์จะส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้กลับมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทค เพื่อสร้างเศรษฐกิจ จ้างงานชาวอเมริกัน สร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยมีนโยบายลดภาษีนิติบุคคล 15%
ส่วนเรื่องการกีดกันด้านเทคโนโลยี ทรัมป์จะมีความรุนแรงกว่าไบเดน ซึ่งหากแฮร์ริสได้รับชัยชนะก็จะดำเนินการเหมือนเดิม เช่น การออกกฎหมาย CHIPS and Science Act ที่สหรัฐฯ ใช้ในการเสริมสร้างการผลิตและการวิจัยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
หมายความว่าสหรัฐฯ จะไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงหรือขายเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตร นั่นก็หมายถึงจีน
จับตานโยบายสีเขียว ชี้ว่าไทยต้องตั้งรับ มีล็อบบี้ยิสต์วางนโยบายให้ชัดเจน
ส่วนมิติปัญหาเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม ทั้ง 2 พรรคมีความแตกต่างกัน โดยแฮร์ริสและไบเดนยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล สนับสนุนพลังงานสีเขียว แต่ทรัมป์ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก
เกรียงไกรทิ้งท้ายว่า “เมื่อมองภาพรวมส่วนตัวคิดว่าไทยจะได้ประโยชน์ เพียงแต่หากทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ไทยต้องมีล็อบบี้ยิสต์ในการเจรจาและวางนโยบายที่ชัดเจน”
เพราะทรัมป์จะวางกลยุทธ์ลักษณะหมูไปไก่มา แต่หากเป็นแฮร์ริสก็จะยังดำเนินการเช่นเดียวกับไบเดน เพราะฉะนั้นเรายังมีโอกาสได้เปรียบทางการค้าหากมีการเจรจาที่ดี และต้องวางมาตรการรับมือสินค้าจีนที่ยังคงทะลักมาอาเซียนและไทยให้ดีและต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นจะกระทบอุตสาหกรรมไทยหนักขึ้นมากกว่า 25 อุตสาหกรรมแน่นอน
ท้ายสุด มาดามรถถัง-นพรัตน์ กุลหิรัญ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด กล่าวว่า ชัยเสรีเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งผลิตยานพาหนะทางการทหาร เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก 37 กว่าประเทศมานาน โดยมองว่าข้อได้เปรียบของไทยคือการซื้อขายที่ไม่อิงการเมือง เป็นการซื้อขายระหว่างประเทศ ดังนั้นการเผชิญกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โดยที่ไทยไม่เลือกข้าง อีกทั้งไทยมีช่องทางการทูตสามารถส่งออกไปได้แทบทุกที่ ทำให้ต่างชาติต่างเลือกที่จะมาลงทุนในไทย