×

ยุคทรัมป์ 2.0 เขย่า FDI โลก เปลี่ยนทิศครั้งใหญ่ เงินลงทุนของโลกจะไหลไปไหน?

10.11.2025
  • LOADING...
ยุคทรัมป์ 2.0 เขย่า FDI โลก เปลี่ยนทิศครั้งใหญ่ เงินลงทุนของโลกจะไหลไปไหน?

FDI ทั่วโลกหดตัว 2 ปีติดต่อกัน แต่เงินทุนกำลังกระจุกตัวในภูมิภาคที่ ‘ลดความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์’ และมีนโยบายรัฐหนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การลงทุนมุ่งสู่สหรัฐฯ-USMCA และอาเซียน ขณะที่จีนและ EU เจ็บหนัก ในยุคทรัมป์ 2.0 เปลี่ยนโลก FDI เงินทุนของโลกจะไหลไปไหน

 

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ระบุว่า ทิศทางการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลก ที่กำลังมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่ยุคทรัมป์ 1.0 ต่อเนื่องมายังยุคทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

 

โดยรวมแล้ว สถานการณ์ FDI ทั่วโลกถือว่าหดตัวลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยหดตัวประมาณ 10-11% คิดเป็นมูลค่า 1.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามากระทบ

 

อย่างไรก็ตาม การหดตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทุกประเทศ แต่เกิดการกระจุกตัวในบางพื้นที่ที่น่าสนใจ ดังนี้

  • การลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ มีอัตราเติบโตสูง รวมถึงกลุ่มประเทศ USMCA คือ สหรัฐฯ, เม็กซิโก, แคนาดา ที่เติบโตรวมกันเกือบ 20% และกลุ่ม อาเซียน คือ สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ไทย ซึ่งเติบโตประมาณ 10%
  • เม็ดเงินลงทุนในจีนหายไปเกือบ 30% และกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ก็หดตัวไปมากถึงประมาณ 60%

 

โครงสร้างการลงทุนโลกเปลี่ยน จาก Conventional สู่ Future Economy

 

สิ่งที่น่าจับตาคือ โครงสร้างการลงทุนในลักษณะ Greenfield FDI หรือ การตั้งใจลงทุนใหม่จริงๆ ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนทั้งก่อนและหลังโควิด

 

เดิมที ก่อนโควิด สัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่เป็นแบบดั้งเดิม เช่น ธุรกิจบริการ, การเงิน, ท่องเที่ยว, บันเทิง หรือการผลิต Basic Manufacturing เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค, พลาสติก, กระดาษ, สิ่งทอ รวมถึงการผลิตน้ำมัน

 

แต่ปัจจุบัน โลกเปลี่ยนทิศทางไปสู่การลงทุนใน ‘อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่

  • Advance Manufacturing ครอบคลุมถึง Data Center, AI, อิเล็กทรอนิกส์, Semiconductor, เครื่องมือแพทย์, และอุตสาหกรรมอากาศยาน
  • พลังงานสะอาด (Clean Energy) การลงทุนในพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือพลังงานสะอาดก็มีสัดส่วนสูงขึ้นมาก เพราะอุตสาหกรรมใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องมีพลังงานมาป้อนด้วย

 

ดร.ฐิติมา ระบุว่า การที่ประเทศใดสามารถดึงดูดเม็ดเงินใหม่ๆ มาลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเหล่านี้ได้ จะสามารถ ยกระดับ GDP ได้ถึง 0.5-1% ในระยะสั้น ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

 

America First และปรากฏการณ์ Reshoring

 

นโยบาย America First ของสหรัฐฯ ได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับประเทศ (Reshoring) ซึ่งทำให้นโยบายนี้เกิดผล (Trump Effect) ตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการ กล่าวคือ สหรัฐฯ สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับประเทศได้ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การผลิต เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน

 

  • มีการรวบรวมข้อตกลงที่รัฐบาลและภาคเอกชนทำร่วมกับสหรัฐฯ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย, EU, Nvidia, Open AI
  • ยอดรวมเม็ดเงินลงทุนที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้าสหรัฐฯ จากนโยบาย Reshoring นี้ อยู่ที่ประมาณ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 10 ปี หรือคิดเป็นเม็ดเงินใหม่ประมาณ 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

การลงทุนเหล่านี้เน้นไปที่อุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ ต้องการให้เกิดขึ้น เช่น เทคโนโลยี อากาศยาน พลังงาน และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้การผลิตในประเทศแข็งแกร่งขึ้น และ ลดการพึ่งพาการผลิตจากภายนอก ซึ่งส่งผลให้ความมั่นคงของชาติสูงขึ้นด้วย

 

โอกาสอาเซียนในกระแส Friend Shoring-Near Shoring

 

แม้จะมีกระแส Reshoring ในสหรัฐฯ และ EU แต่อาเซียนก็เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้อานิสงส์และเป็นแหล่งที่เงินลงทุนไหลเข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว อาเซียนถูกมองว่าเป็น Hub ที่ปลอดภัย และเป็นทางเลือกในการ กระจายความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เป็น Friend Shoring และ Near Shoring

 

โอกาสที่อาเซียนได้รับอานิสงส์

 

  • Global South อาเซียนได้รับอานิสงส์จากกระแสการลงทุนในกลุ่มประเทศ Global South โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนกลุ่มดิจิทัล ซึ่งมีหลายประเทศในอาเซียนติดอันดับ 10 ประเทศแรก แม้ว่าไทยจะอยู่ท้าย ๆ ก็ตาม
  • ห่วงโซ่อุปทาน อาเซียนเป็นตัวเลือกสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
  • New Economy นโยบายในอาเซียนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจใหม่ (Digital และ Green Economy) ซึ่งทำให้มีการเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนเหล่านี้
  • ทรัพยากร การลงทุนเพื่อแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติใหม่ ๆ เช่น Rare Earth ก็ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ทั้งสหรัฐฯ และจีนมองมาที่อาเซียนมากขึ้น

 

โดยสรุป ทิศทางการลงทุนโลกตอนนี้อยู่ภายใต้ 3 กระแสหลัก คือ Reshoring, Friend Shoring, และ Near Shoring ซึ่งอาเซียนถือเป็น Hub ที่น่าสนใจสำหรับทุกประเทศ

 

ความร่วมมือระดับภูมิภาค และการขยับของไทย

 

เพื่อดึงดูดเม็ดเงิน FDI ให้มากขึ้น อาเซียนมีความคืบหน้าในการลงนามข้อตกลงที่สำคัญหลายอย่าง

  • ASEAN Summit มีการลงนามข้อตกลงที่สำคัญ ดังนี้
  • การแก้ไขความตกลงสินค้าภายในอาเซียน เพื่อยกระดับการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล
  • การแก้ไขความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนกับจีน หรือ CAFTA 3.0 ซึ่งเป็นการยกระดับกรอบกติกาให้กว้างขึ้นจากเดิมที่เน้นแค่การลดภาษี 0% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดย CAFTA 3.0 มุ่งเน้นการลงทุนใน เทคโนโลยี, เศรษฐกิจสีเขียว, การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน, มาตรฐานสินค้า, และสนับสนุน SMEs ให้ใช้ E-commerce เชื่อมโยงกับจีน
  • APEC Summit การประชุม APEC มีผลต่อ FDI โดยตรงจากกรณีที่ ทรัมป์กับสี จิ้นผิง พบกันและตกลงขยายเวลาไม่เก็บภาษีสูง ๆ ต่อไป 1 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนต้องตัดสินใจว่าจะ Reshoring ไปสหรัฐฯ หรือลงทุนในประเทศที่ 3 ต่อไป
  • ที่ประชุมยังประกาศความร่วมมือ ระหว่างกัน โดยเน้นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและโลจิสติกส์
  • มีการเปิดตัว APEC AI Initiative เพื่อส่งเสริมการลงทุน Data Center, Cloud, และ AI Infrastructure
  • รวมถึงกรอบความร่วมมือที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป โดยจะมีการลงทุนในเรื่อง Health และ Aging Solution มากขึ้น

 

ดร.ฐิติมา ทิ้งท้ายว่า แม้ไทยจะติดอยู่ในอันดับท้าย ๆ ของประเทศในอาเซียนที่รับเม็ดเงินกลุ่มดิจิทัล แต่โอกาสก็มีอยู่มาก หากประเทศไทยเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Innovation ด้าน AI เพื่อให้สามารถขยับขึ้นไปแข่งขันในกลุ่ม Top 5 ของอาเซียนได้

 

ภาพ: Andrew Leyden/ Shutterstoock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising