×

ดวงดาวลับฟ้าและดวงดาวที่โชติช่วง ในวันเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยของ ‘เอ็มบัปเป้’

17.02.2021
  • LOADING...
ดวงดาวลับฟ้าและดวงดาวที่โชติช่วง ในวันเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสมัยของ ‘เอ็มบัปเป้’

เมื่อครั้งที่เราได้ทราบผลการจับสลากประกบคู่ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบน็อกเอาต์รอบแรก หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายว่าจะได้ดูคู่ใหญ่ระหว่างบาร์เซโลนาและปารีส แซงต์ แชร์กแมงนั้น สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวและหัวใจของใครหลายคนคือการพบกันอีกครั้งระหว่าง 2 นักฟุตบอลผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์สูงสุดของโลกในยุคนี้

 

ที่บอกเช่นนั้นเพราะหากวัดกันในเชิงของพรสวรรค์การเล่นเพียงอย่างเดียว บนโลกใบนี้ ณ เข็มนาฬิกาเดินไปยังมองไม่เห็นใครที่จะอยู่เหนือ ลิโอเนล เมสซี และเนย์มาร์ได้

 

และไม่แปลกครับที่การพบกันของทั้งคู่จะถูกจับจ้อง เพราะทั้งสองเคยเป็นรุ่นพี่-รุ่นน้อง เป็นเพื่อนร่วมทีม เป็นคู่แข่งบารมี ความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างราชาลูกหนังอาร์เจนไตน์กับเจ้าชายแห่งแสงอาทิตย์ของชาวบราซิลนั้นเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ

 

การย้ายทีมที่สะเทือนโลกทั้งใบของเนย์มาร์ ที่ตัดสินใจหักดิบและไปจากบาร์เซโลนานั้นไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าการต้องการจะก้าวให้พ้นเงาของเมสซีที่ทับทาบบนตัวเขามานานเกินไปจนหวั่นว่าจะไม่มีวันที่เขาจะได้ฉายแสงสว่างอันเจิดจ้าในตัวเองออกมา

 

ตลกร้ายกว่านั้นคือการย้ายทีมครั้งนี้กลับทำให้ทั้งสองได้รู้ใจตัวเองว่าพวกเขาไม่ได้อยากจะเป็นคู่แข่งกัน

 

ยอดนักเตะทั้งสองเพียงแค่อยากจะมีโอกาสได้เล่นด้วยกันอีกสักครั้ง เพราะการได้เล่นร่วมกับยอดนักเตะที่ทันกันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

 

เรื่องนี้จึงเป็นที่มาของมหากาพย์ในการพยายามหาโอกาสจะกลับมาเล่นร่วมกันอีกครั้งของทั้งสองตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพียงแต่ต่อให้เป็นเมสซี และต่อให้เป็นเนย์มาร์ ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสมความปรารถนาในทุกเรื่อง

 

จนกระทั่งสถานการณ์ถึงจุดพลิกผัน เมื่อเนย์มาร์ล้มเลิกความคิดที่จะหาทางกลับไปบาร์เซโลนา และกลายเป็นเมสซีเองที่อาจจะย้ายมาเล่นร่วมกับเขาเมื่อหมดสัญญาที่คัมป์นู หลังประกาศความตั้งใจอย่างชัดแจ้งในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา

 

แต่การเล่นร่วมกันของทั้งสองไม่ได้ทำให้เรื่องน่าตื่นเต้นเท่ากับการที่ทั้งคู่จะลงนำทัพเผชิญหน้ากันเองสักครั้ง

 

ประหนึ่งยอดยุทธประลองฝีมือและกำลังภายในกันบนยอดเขาลี้ลับ เพื่อรู้ว่าใครกันแน่ที่จะเป็นหนึ่งในใต้หล้า

 

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่โชคชะตาเล่นตลกเมื่อเนย์มาร์ได้รับบาดเจ็บหนักก่อนจะถึงเกมการแข่งขันไม่กี่วัน และการบาดเจ็บครั้งนี้อาจทำให้เขาหมดโอกาสที่อย่างน้อยจะได้ลงเล่นในผืนหญ้าเดียวกันกับเมสซีอีกครั้งในระดับสโมสร

 

ความน่าสนใจในเกมจึงถูกโฟกัสไปที่เมสซีเป็นหลัก พร้อมกับคำถามที่น่าสนใจว่าการลงสนามนัดนี้จะเป็นการทดสอบฝีเท้าของเขาให้เหล่าผู้บริหารจากตะวันออกกลางของเปแอสเชได้เห็นว่าควรค่าแก่เม็ดเงินมหาศาลที่จะจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้เขาหรือไม่ หากคิดจะดึงตัวราชาลูกหนังผู้นี้มาร่วมทัพจริง

 

โดยก่อนจะลงสนาม เมสซีก็อยู่ในช่วงที่กำลังกลับมาเข้าฝึกอีกครั้ง พร้อมๆ กับบาร์เซโลนาที่เริ่มดีขึ้นมาโดยไม่แพ้ในลาลีกามา 12 นัด โดยเป็นการชนะถึง 9 นัด และที่สำคัญคือดาวเตะวัย 33 ปีไม่ได้แค่กลับมาเล่นดี

 

รอยยิ้มที่หายไปของเมสซีก็เริ่มกลับมาด้วย

 

ความสุขในการเล่นของเมสซี เป็นดัชนีแปรผกผันกับผลงานของบาร์ซาอย่างชัดเจน บรรยากาศในทีมเริ่มดีขึ้น ผลงานของนักเตะหลายคนที่เคยถูกตั้งคำถามก็เริ่มได้รับคำตอบที่น่าพอใจ โดยเฉพาะคนที่ควรจะแบ่งเบาภาระของเขาได้บ้างอย่าง อองตวน กรีซมันน์ และ อุสมาน เดมเบเล ในแนวรุก

 

ในลาลีกา สถานการณ์การตามล่าแอตเลติโก มาดริด ซึ่งโชคดีเหลือเชื่อที่ได้อาวุธร้ายที่สุดอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ มาร่วมทีมโดยบาร์ซา ยัดใส่กล่องและนำไปส่งให้ถึงสนามว่านต๋า อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไปจากระยะห่างที่ปรากฏ ขณะที่รายการโคปา เดล เรย์ พวกเขาก็แพ้เซบียามาในเกมแรก

 

แต่ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เมสซีต้องการมากที่สุดคือการกลับไปคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกอีกสักครั้งก่อนที่จะปิดฉากชีวิตการเล่นของตัวเอง

 

เพราะนับตั้งแต่ที่เขา ซัวเรซ และเนย์มาร์ ผนึกกำลังกันในนามสามมหัศจรรย์ ‘MSN’ พาทีมพิชิตยุโรปได้ในปี 2015 ยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลันก็ไม่เคยคว้าถ้วย Big Ears มาครองได้อีกเลย และในหลายปีหลังมักจะตกรอบอย่างน่าเจ็บปวด

 

ไม่ว่าจะเป็นการเสียท่าลิเวอร์พูล โรมา และในฤดูกาลที่ผ่านมากับบาดแผลลึก แพ้ 2-8 จากคมเขี้ยวสมิงร้ายแห่งบาวาเรีย บาเยิร์น มิวนิก

 

สำหรับราชาลูกหนังอย่างเขา การเห็นทีมพังทลายลงครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ไม่รู้จะทำอะไรเพื่อช่วยทีมได้อีกเป็นความเจ็บปวด และเจ็บปวดมากขึ้นกับการอดคิดไม่ได้ว่ายิ่งเวลาผ่านไปในแต่ละปี บาร์ซานอกจากจะไม่เข้มแข็งเหมือนเก่ายังอ่อนแอลงเรื่อยๆทุกปี

 

ดังนั้นการคืนฟอร์มในช่วงที่ผ่านมาจึงเป็นเหมือนการจุดประกายความหวังให้กับเมสซี

 

บางทีเขาอาจจะมีโอกาสได้เถลิงแชมป์ยุโรปอีกสักครั้ง ในฤดูกาลที่อาจจะเป็นฤดูกาลสุดท้ายกับบาร์เซโลนา

 

ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปในทิศทางนั้นครับ เมื่อบาร์ซาโชคดีได้จุดโทษทั้งๆ ที่เป็นจังหวะที่ดูแล้วไม่น่าจะได้ และเป็นเมสซีที่รับหน้าที่สังหารเข้าไปโดยไม่ผิดพลาด

 

หากเป็นบทตามปกติแล้วเขาและบาร์ซาน่าจะสยบเปแอสเชได้ไม่ยากในสนามของตัวเอง

 

เพียงแต่ดูเหมือนฟ้าจะเขียนบทมาให้อีกแบบ และบทสรุปของเรื่องนี้ก็โหดร้ายอย่างมากสำหรับทั้งเมสซีและคนที่รักบาร์เซโลนา เมื่อพวกเขาต้องพบพานกับความปราชัยอย่างย่อยยับอีกครั้ง

 

และคนที่กลายเป็นพระเอกของเรื่องกลายเป็น คิเลียน เอ็มบัปเป้ ไอ้หนูมหัศจรรย์ที่กำลังอยู่ในช่วงทางแยกของชีวิตไม่ต่างจากเมสซีเหมือนกัน

 

เอ็มบัปเป้ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำผลงานที่ดีเด่นมากนัก หลายคนวิพากษ์ว่าเขาพยายามที่จะเล่นแบบเนย์มาร์ในสนาม ทั้งๆ ที่ทักษะความสามารถโดยเฉพาะการครองบอล และการเลี้ยงบอลไม่อาจเทียบได้ และอีกจุดที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือหัวใจของเขายังอยู่ที่เปแอสเช

 

หรือมันลอยไปที่ไหนแล้ว?

 

คำถามนี้เกิดขึ้นเพราะกองหน้าผู้พิชิตแชมป์โลกมาแล้วกับทีมชาติฝรั่งเศสเมื่อ 3 ปีก่อนเหลือสัญญากับเปแอสเชถึงปี 2022 หรือไม่ถึง 1 ปีครึ่ง และการเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ของเขากับทีมก็ติดขัด ซึ่งเป็นที่รับรู้และเข้าใจกันได้ว่าเอ็มบัปเป้พยายามจะดึงเรื่องไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อพิจารณาโอกาสทุกอย่างอย่างรอบคอบที่สุด

 

ว่ากันว่าใจของเขาน่าจะอยู่ที่ชุดสีขาวของเรอัล มาดริด เพียงแต่ด้วยโควิด-19 ทำให้มหาอำนาจลูกหนังแห่งสเปนดูจะไม่มีทุนรอนมากพอที่จะคว้าตัวเขามาร่วมทีมได้

 

ส่วนอีกทีมที่มีข่าวคือลิเวอร์พูล ซึ่งความเป็นไปได้นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเมื่อคิดถึงวิธีการบริหารของแชมป์อังกฤษ และสถานะทางการเงินที่ลำบากหนัก แม้เจอวิกฤตแนวรับมาตั้งแต่ต้นฤดูกาลก็เลือกจะรอจนทีมใกล้แตกสลายจึงยอมที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ถูกที่สุดกับเงินไม่ถึง 2 ล้านปอนด์

 

แต่สิ่งที่เราได้เห็นด้วยสองตาในเกมที่คัมป์นูคือหลักฐานความมหัศจรรย์ของคนที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของยุคสมัยใหม่ของเกมฟุตบอล

 

จริงอยู่ที่ขุนพลของเปแอสเชเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึง มาร์โก แวร์รัตติ มิดฟิลด์ห้องเครื่องชาวอิตาลีที่บาร์ซาเคยต้องการได้ตัวมาเพื่อแทนที่ อันเดรส อิเนียสตา และชาบี เอร์นานเดซ แต่คนที่เด่นที่สุดคือเอ็มบัปเป้ ผู้โลดแล่นในสนามโดยไม่มีผู้เล่นบาร์ซาคนไหนที่จะหยุดเขาได้ 

 

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือภาพระดับไอคอนิกที่จะถูกฝังลงในความทรงจำของผู้คนมากมาย เมื่อ เคราร์ด ปิเก จอมเก๋าผู้ที่หายเจ็บและกลับมาลงสนามนัดแรกเพื่อเจอฝันร้าย พยายามฉุดรั้งดาวยิงผู้ร้อนแรงอย่างสุดความสามารถจนเสื้อยืดเป็นทางไกล แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดเอ็มบัปเป้ที่อยู่ในท่วงท่าของคนที่ระเบิดพลังความเร็วที่เหลือเชื่อได้

 

จากประตูที่ 1 ที่โชว์ชั้นเชิงการเลี้ยงบอลและหาโอกาสซัดเผาขนอย่างเฉียบขาด สู่ประตูที่ 2 ในการจบสกอร์ที่เรียบง่ายเหมือนสายน้ำไหลเย็น และประตูที่ 3 อันน่าตื่นตาตื่นใจด้วยการปั่นโค้งเสียบสามเหลี่ยมเข้าไป โดยที่หาก มาร์ค อังเดร แทร์-สเตเกน ไม่เซฟช่วยชีวิตเอาไว้ บาร์ซาก็มีโอกาสจะอับอายมากยิ่งกว่านี้

 

ความมหัศจรรย์ของเขาทำให้เราแทบจะลืมเมสซีไป

 

มันเป็นเกมที่เขาตอบข้อสงสัยทุกอย่างว่าเขากำลังหลงทางในการพยายามเป็นเนย์มาร์หรือไม่? เพราะสิ่งที่เราได้เห็นคือการเล่นในแบบของเอ็มบัปเป้แท้ๆ ที่ใกล้เคียงกับ ‘โอ เฟโนเมโน’ โรนัลโด เดอ ลิมา กองหน้าหมายเลข 9 ที่เก่งที่สุดในโลกคนก่อน

 

และมันก็ตอบข้อสงสัยของหลายคนได้ว่าตกลงแล้วเขาเก่งพอที่จะก้าวขึ้นมาทดแทนคนที่ครองความเป็นหนึ่งมายาวนานอย่างเมสซีหรือโรนัลโดแห่งโปรตุเกสได้จริงไหม

 

แม้กระทั่งเนย์มาร์ ที่อยู่ในช่วงวัยพีกของการเป็นนักฟุตบอลเองก็ไม่แน่ว่าจะเหนือกว่าเขาแล้ว

 

อองตวน กรีซมันน์ ผู้แพ้ในเกมที่คัมป์นู แต่โชคดีที่เป็นรุ่นพี่ของเอ็มบัปเป้ในทีม Les Bleus แนะนำว่าทุกคนควรจะได้มีความสุขไปกับการเล่นของเขา

 

“เปแอสเชมีผู้เล่นที่จะอยู่ในระดับเดียวกับลีโอและคริสเตียโน โรนัลโด”

 

‘พี่โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์’ ผู้กำลังกลับมามีความสุขในการได้วาดลวดลายในสนามฟุตบอลทุกสัปดาห์อีกครั้งให้ความเห็นที่น่าสนใจ

 

“แมตช์นี้เหมือนได้เห็นดาวดวงหนึ่งกำลังจะลับฟ้า อีกดวงกำลังช่วงโชติ”

 

แม้ใจจะรักและภักดีต่อราชาลูกหนังอย่างเมสซีมากแค่ไหน แต่ผมไม่อาจเห็นเป็นอื่นได้

 

โลกฟุตบอลกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงยุคสมัยอีกครั้งเหมือนที่เคยเป็นตลอดมา

 

มันคือช่วงเวลาของคนรุ่นใหม่

 

และผมเองจะจดจำไว้ว่ามงกุฎลูกหนังได้ถูกส่งต่อจากราชาคนเก่าสู่ราชาคนใหม่ ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่คัมป์นู

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • เอ็มบัปเป้เป็นผู้เล่นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ทำแฮตทริกใส่บาร์เซโลนาได้ที่คัมป์นูในรายการแชมเปียนส์ลีก ต่อจาก ฟาอุสติโน อัสปริยา ดาวยิงลีลาพิสดารชาวโคลอมเบีย และ อังเดร เชฟเชนโก เมื่อครั้งเป็นสุดยอดศูนย์หน้าดาวรุ่งของดินาโม เคียฟ ซึ่งทั้งสองทำได้ในปี 1997 เหมือนกัน
  • หลังจบเกม เอ็มบัปเป้ตอบคำถามเรื่องของอนาคตว่ายังไม่สามารถตัดสินได้ด้วยเกมเดียว แต่เขายืนยันได้ว่า “มีความสุขอยู่ที่นี่” ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีการเปลี่ยนใจที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปในปาร์กเดส์แพรงซ์ และอาจทำให้ความหวังของเมสซีที่จะได้มาร่วมเล่นกับเนย์มาร์สลายไป
  • โจน ลาปอร์ตา อดีตประธานสโมสรบาร์เซโลนา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานสโมสรรอบใหม่ที่จะเลือกตั้งในวันที่ 7 มีนาคม เปรยว่า เมสซีต้องการจะคว้าแชมป์ยุโรปกับบาร์ซาเท่านั้น และทีมก็พร้อมจะให้เขาอยู่ต่อไปต่อให้ค่าเหนื่อยจะมหาศาลแค่ไหน เพราะตลอดมาเมสซีมีส่วนทำให้สโมสรได้กำไรถึง 30%
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising