×

เทรน AI ให้เป็น VI ยิ่งลงทุนเก่งยิ่งสร้างพอร์ตแข็งแรง

21.05.2024
  • LOADING...

กระแส AI Boom ยังไม่ทันจางหาย ChatGPT ก็สร้างเรื่องอีกแล้วครับ เมื่อการเปิดตัวโมเดลใหม่ ChatGPT-4o สร้างแรงสั่นสะเทือนในระดับหลายริกเตอร์ให้กับวงการเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยความอัจฉริยะที่ล้ำไปอีกขั้น นอกจาก ChatGPT-4o จะรับรู้และโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาดขึ้น เร็วขึ้น สมเหตุสมมากขึ้นแล้ว ยังสามารถเข้าใจอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นด้วย 

 

นับวันจะเห็นได้ชัดเจนถึงแนวโน้มการประยุกต์ใช้ AI ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กำลังจะเร่งสปีดและร้อนแรงยิ่งขึ้น รวมทั้งในโลกของการลงทุนที่ต้องบอกเลยว่า AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การลงทุนแบบสิ้นเชิง 

 

คุณอาจรู้สึกว่าผมพูดให้ยิ่งใหญ่ไปไหนกัน กระแส AI Boom เพิ่งจะเกิดขึ้นแค่ปีกว่าๆ หลังการเปิดตัว ChatGPT ในเดือนธันวาคม 2022 แต่สำหรับผมที่อยู่ในโลกการลงทุนมายาวนาน พูดได้เต็มปากว่าผมได้นำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนมานานหลายปีแล้ว หลายกองทุนในโลกนี้ก็ได้นำ AI มาใช้นานแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Vanguard หรือ BlackRock และอีกหลายแห่งของโลก 

 

ข้อมูลจาก Grand View Research ระบุว่าในปี 2023 มี 7 บริษัทจัดการลงทุนที่นำ AI มาใช้บริหารจัดการพอร์ตลงทุนมากที่สุด ได้แก่ JPMorgan Chase & Co., Morgan Stanley, Vanguard Group, Deutsche Bank AG, ING Group NV, Fidelity และ Wealthfront ซึ่งปัจจุบัน 70% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดสหรัฐฯ มาจาก AI ทั้งการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์และมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจลงทุน และการใช้ AI ซื้อขายหุ้นเองแบบเบ็ดเสร็จ 

 

AI จะช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลการลงทุนได้แม่นยำมากขึ้น จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data รวมถึงการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีอารมณ์หรืออคติของมนุษย์เข้ามาเป็นตัวแปร หรือเรียกได้ว่าเป็น Zero Bias 

 

นอกจากนี้ AI ยังเพิ่มความโปร่งใสในการลงทุน และตรวจจับความผิดปกติหรือการฉ้อโกงในการลงทุน เช่น การสร้างราคา ซึ่งจะช่วยลดการขาดทุนของนักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันการใช้ AI ช่วยลงทุน วิเคราะห์ความเสี่ยง ก็ถือเป็นการบริหารความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุนของเราได้เพิ่มขึ้นด้วย 

 

การใช้ AI ลงทุนพัฒนามาสู่ Algorithmic Trading ซึ่งเป็นการซื้อขายแบบอัตโนมัติที่ AI จะเข้ามาช่วยลงทุน โดยจะทำงานตามชุดคำสั่งที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเวลาในการซื้อขาย ราคา หรือปริมาณ ตัวอย่างเช่น กำหนดให้ขายหุ้น A เมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน โดยข้อดีของการใช้ Algorithmic Trading คือ แม้ว่าเราไม่ได้เกาะติดตลาด 24 ชั่วโมง ก็สามารถซื้อขายหุ้นหรือกองทุนในราคาที่ดีที่สุดได้ ช่วยลดข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ 

 

AI เพิ่มบทบาทจัดพอร์ตลงทุน 

 

Global Asset and Wealth Management Survey ของ PwC ในปี 2023 ได้สำรวจความคิดเห็นของบริษัทจัดการลงทุนและบริหารความมั่งคั่ง 250 แห่ง รวมถึงนักลงทุนสถาบันอีก 250 แห่ง พบว่า บริษัทเหล่านี้มองว่าการทำธุรกิจจะมีความท้าทายมากขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของธุรกิจ การพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับการลงทุน ความคาดหวังของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการควบรวมกิจการที่มีมากขึ้นในระยะข้างหน้า 

 

โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมจัดการลงทุนและบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งผลสำรวจพบว่า 73% ของธุรกิจกำลังพิจารณาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ รวมทั้งลดต้นทุนและความเสี่ยงของธุรกิจลง นอกจากนี้กว่า 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจได้มากขึ้น โดยเฉพาะ AI, Machine Learning, Big Data หรือ Blockchain   

 

จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ PwC คาดการณ์ว่า บริษัทจัดการลงทุนและบริหารความมั่งคั่งรายใหญ่ 10 อันดับแรกของโลก จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกันถึง 50% ในปี 2027 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42.5% ในปี 2023 ที่สำคัญบริษัทที่สามารถประยุกต์ใช้ GenAI หรือ Robo Adviser มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จะสามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ นอกจากนี้ PwC ยังคาดอีกว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ Robo Adviser จะมีมูลค่าสูงถึง 5.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2022 ที่ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ในส่วนของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในประเทศไทยเราเองก็จะพบกับความท้าทายเหล่านี้เช่นกันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่ง AI และ Robo Adviser จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่กองทุนรวมเริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว เพื่อให้บริการนักลงทุนในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป เช่น การลงทุนเพื่อเกษียณ การลงทุนเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ 

 

ในระยะข้างหน้า AI จะถูกนำมาใช้กับธุรกิจกองทุนรวมในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองนักลงทุนได้ตรงความต้องการมากขึ้น นอกเหนือจากการนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ภาวะตลาด คาดการณ์ผลประกอบการ และแนะนำการลงทุน ซึ่งผลตอบแทนของพอร์ตที่ใช้ AI ในการบริหารอย่างมีหลักการ ผมกล้าพูดว่าดีกว่าการบริหารโดยมนุษย์อย่างแน่นอนครับ

 

ใส่หลักการให้ AI กำไรจะไปไหนเสีย

 

มาถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่าในระยะยาว AI จะสร้างกำไรให้ได้จริงหรือ ผมก็บอกได้เลยว่าจริง! ​แต่นอกจากข้อมูลจำนวนมหาศาลแล้ว ‘หลักการลงทุน’ ที่คุณส่งคำสั่งให้อัลกอริทึมทำงานคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า และหากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้ว คงต้องเดินอยู่บนถนนสายเน้นคุณค่า (Value Investment: VI) เหมือนผมเป็นแน่ เราคงไม่อยากใช้ AI เพียงเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาค สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อการลงทุนเท่านั้น คุณก็คงอยากได้หลักการที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเส้นทาง AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายลงทุนแบบฉบับ VI เช่นกัน จริงไหมครับ  

 

หลักการของนักลงทุนสาย VI คือการลงทุนระยะยาว AI ต้องจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนแต่ละคนจะยอมรับได้ เพื่อเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางก็จะต้องมีการปรับพอร์ตอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ด้วย หรือนำวิธี DCA มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น  

 

ผมขอทบทวนสักนิด ถึงหลักทฤษฎีคุณสมบัติของหุ้นสาย VI จะมีองค์ประกอบหลักๆ 5 ข้อด้วยกันครับ ได้แก่

  1. หุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานมั่นคง ซึ่งนักลงทุนควรเลือกหุ้นจากกิจการที่หาสินค้าทดแทนยาก สินค้าหรือบริการยังอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ หรือสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ต่อเนื่อง

  2. หุ้นของธุรกิจที่มีรายรับสม่ำเสมอ ธุรกิจนั้นๆ ต้องมีการพัฒนาและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

  3. หุ้นจากกิจการที่มีผลกำไรดี การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตกำไร มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จะเป็นสิ่งการันตีได้ในระดับหนึ่งว่าเราจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี และทำให้เราลงทุนได้อย่างสบายใจ

  4. หุ้นที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ยิ่งเป็นอัตราเงินปันผลที่น่าประทับใจ ยิ่งถือคุณลักษณะที่ดีมากๆ ของหุ้นสาย VI

  5. หุ้นที่มีราคาไม่แพง สิ่งสำคัญของการเลือกหุ้นสาย VI คือการเลือกหุ้นที่มีราคาไม่แพง หรือหุ้นที่มีราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง และศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต 

 

หลักการเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็น ‘ตำรา’ ลงทุนฉบับคลาสสิก ตามวิถีของปรมาจารย์สาย VI อย่าง คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เป็น Role Model ของนักลงทุนสาย VI หลายๆ คน รวมถึงตัวผมเอง และหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็มีบทพิสูจน์ในทางสถิติให้เห็นมาโดยตลอดว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้จริงในระยะยาว 

 

การจำหลักการที่ ‘ถูกต้อง’ มาใส่ให้ AI บริหารจัดการพอร์ตลงทุน ช่วยให้คุณสร้างเครื่องจักรที่ดีในการควบคุมเงินของคุณให้งอกเงยในทิศทางที่ถูกที่ควร อย่างน้อยที่สุด เครื่องจักรนี้ไร้อารมณ์ครับ มันทำงานตามหลักการที่วางไว้ ไม่ต้องตื่นกลัวกับข่าวสารที่เข้ามากระทบ ​ปิดจุดอ่อนของนักลงทุนที่ใจแกร่งไม่พอได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผมจึงมั่นใจและกล้าพูดว่า ผลตอบแทนของพอร์ตที่ใช้ AI ในการบริหารอย่างมีหลักการให้ผลดีกว่าการบริหารโดยมนุษย์อย่างแน่นอนครับ 

 

Jitta ผู้นำในการใช้ AI เพื่อการลงทุนที่แท้จริง

 

ผมขอตัดภาพลงมาที่ Jitta ถึงแม้เราจะยังเป็น FinTech Startup แต่ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาของ Jitta​ เราพัฒนา AI เพื่อมาตอบแพสชันในการนำเทคโนโลยีมาส่งเสริมการลงทุนของคนไทย​​ ผ่านการพัฒนา jitta.com ที่มี Jitta Intel เป็นอัลกอริทึม AI เพื่อการลงทุนของ Jitta มาตลอดช่วง 12 ปี​ ทำหน้าที่ค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing: VI) ที่ใช้ศาสตร์ของ ‘Quant VI’ ช่วยคัดหุ้นดีราคาถูก สร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว ปัจจุบันเราสามารถวิเคราะห์หุ้นทั่วโลกได้กว่า 28 ประเทศ ครอบคลุม 90% ของหุ้นทั่วโลก นักลงทุนที่ต้องการหาข้อมูลการลงทุนในตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงการวิเคราะห์หุ้น สามารถเข้ามาใช้บริการได้ฟรีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เลยครับ​

 

แต่ผมก็พบว่า นักลงทุนหลายคนยังไม่สามารถลงทุนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหลักการลงทุนแบบ VI มีเคล็ดลับอยู่ 2 ว. ครับ ประกอบด้วย วิเคราะห์และวินัย แม้ jitta.com จะมีข้อมูลวิเคราะห์ให้แล้ว แต่หากนักลงทุนไม่มีวินัยเพียงพอก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายการลงทุนที่คาดหวังได้ และเสียงเรียกร้องจากนักลงทุนนี่เองที่ทำให้เราพัฒนามาสู่ Jitta Wealth ธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่นำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์การลงทุนและบริหารพอร์ตลงทุน สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนจนสร้างผลตอบแทนที่ดี ปัจจุบันเรามีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลกว่า 68,000 พอร์ต มากที่สุดในประเทศไทย

 

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนเคยใช้ ChatGPT ตั้งแต่วันแรกๆ มาถึงวันนี้หากคุณถามคำถามเดิมกับเจ้า AI แสนฉลาด เราจะค้นพบคำตอบที่ล้ำขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้วแน่นอนครับ เพราะอะไรหรือครับ สำหรับผม หากจะเทียบแล้ว AI ก็ไม่ต่างจากนักมวย นักมวยจะแกร่งได้ต้องได้รับสารอาหารให้ถึง ออกกำลังกายเพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ ฉันใดก็ฉันนั้น AI ก็ต้องได้สารอาหารและการฝึกฝนและเรียนรู้ ผมจึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากกว่า Jitta คือผู้นำการใช้ AI เพื่อการลงทุนของเมืองไทยอย่างแท้จริง

 

เพราะตลอด 12 ปี​ ผมมั่นใจว่าอัลกอริทึม AI ของ Jitta มีข้อมูลการลงทุนมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวัน วิเคราะห์หุ้นกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เมื่อรวมกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลที่ปัจจุบันเรามีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลกว่า 68,000 พอร์ต มากที่สุดในประเทศไทย ได้เห็นพฤติกรรมการลงทุนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในมิติต่างๆ นี่คือ ‘สารอาหาร’ ที่เรามีมากกว่าเพื่อนครับ

 

เรียกได้ว่าตลอด 12 ปีที่ Jitta ได้นำระบบเทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automated Investing) มาบริหารจัดการพอร์ตลงทุนให้กับนักลงทุนอย่างครบทุกมิติ ทั้งการบริหารความเสี่ยง การจัดสินทรัพย์ให้กระจายทั่วโลก รวมถึงการปรับพอร์ตรายบุคคลอัตโนมัติ​ เรียกได้ว่าอัลกอริทึมของ Jitta ได้ผ่านแต่ละบทเรียนในวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านทุกวัฏจักรการลงทุน ทั้งช่วงตลาดเติบโตและตกต่ำ การทดสอบภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา ทำให้ AI ของ Jitta ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของตลาดหุ้น (Evidence-based) ในทุกวัฏจักรการลงทุนมาแล้ว ทำให้สามารถพัฒนาโซลูชันที่จะทำให้การลงทุนมีทางเลือกและมีโอกาสมากกว่า และพิสูจน์ผลตอบแทนที่ยิ่งสูงหลังวิกฤต นี่คือ ‘การฝึกฝน’ ของ Jitta Intel ที่ทำให้กล้ามเนื้อ AI ของเรามัดใหญ่กว่าเพื่อนแน่นอนครับ  

 

เรายังคงพัฒนากล้ามเนื้อ AI ของเราให้มัดใหญ่ขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนมากขึ้น ด้วยการนำ AI Predictive Analytics ​มาพัฒนา Jitta Market Prediction ซึ่งเป็นการนำฐานข้อมูลการลงทุนมาวิเคราะห์ในทุกมิติ สร้างโมเดล เพื่อเฟ้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น โดย AI บ่งชี้ว่า เวลานี้หุ้นจีน-ฮ่องกงเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุด  

 

คุณอาจสงสัยว่าทำไมเข็มทิศ AI ชี้ไปที่หุ้นจีน-ฮ่องกง ผมตอบด้วยหลักการข้างต้นเลยครับ นั่นก็คือ หุ้นดีแถมราคาถูก และจากการเรียนรู้ในอดีตของ AI พอร์ตที่ลงทุนในช่วงวิกฤต AI จะพบว่ามีหุ้นที่ Valuation ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือหุ้นที่ราคาถูกให้ลงทุนจำนวนมาก และเมื่อผ่านวิกฤตไปแล้ว ผลตอบแทนจึงดีดขึ้นแรงและเร็ว​ ผมขอยกตัวอย่าง Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นเวียดนามที่ผ่านวิกฤตใหญ่ๆ มาในระยะ 4 ปีกับ​ 1 ไตรมาสที่ผ่านมา ​ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 77.47% และ 140.27% ตามลำดับ ด้วยหลักการนี้เมื่อมาเฟ้นหาตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว AI​ ก็พบว่าในเวลานี้ทั้ง 2 ตลาดเข้าข่าย และมีหุ้นดีอยู่ ที่สำคัญมีจำนวนหุ้นที่ดี แถมราคาถูกอยู่ในสัดส่วนที่มากกว่าจำนวนหุ้นดีทั้งหมด   ​ 

มาถึงเวลานี้ผมเชื่อว่าเราทุกคนตระหนักดีว่าเรากำลังอยู่ในยุค ‘AI เปลี่ยนโลก’ เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราแทบทุก Life Cycle การมาของ AI อาจส่งผลในเชิงบวกได้อย่างมหาศาล หรืออาจสร้างความท้าทายอย่างใหญ่หลวงได้เช่นกัน แต่หากเราสามารถปรับตัวและปรับใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างสร้างสรรค์และมีหลักการที่ถูกต้อง เรียนรู้และฝึกฝนไปพร้อมกัน ผมเชื่อว่าความฉลาดของ AI จะสร้าง ‘โอกาส’ ให้อยู่เหนือ ‘ความท้าทาย’ ได้อย่างแน่นอน…มาใช้ความอัจฉริยะของปัญญาประดิษฐ์สร้างคุณภาพชีวิตเรา ให้เราลงทุนได้อย่างมีความสุข แล้วเอาเวลาไปทำอะไรสนุกและมีคุณค่าให้กับชีวิตดีกว่าครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising