นับตั้งแต่ปี 2505 จากการนำเข้าสู่โรงงานประกอบรถยนต์ของโตโยต้า จนถึงวันนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก้าวสู่ขวบปีที่ 60 ที่โตโยต้าร่วมเดินทางเคียงข้างคนไทยไปพร้อมๆ กับเพื่อนร่วมทางที่ดีจากทุกภาคส่วน ที่มีส่วนร่วมบนเส้นทางความสำเร็จนี้
เพื่อแสดงความขอบคุณ โตโยต้าจึงจัดงาน ‘โตโยต้า ฉลองการดำเนินงานในประเทศไทยครบ 60 ปี’ อย่างยิ่งใหญ่ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา
60 ปีของการเดินทาง
บนเส้นทางอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาทั้งในด้านการลงทุนขยายธุรกิจและการผลิตรถยนต์ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเติบโต
โตโยต้ามียอดผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศสะสมกว่า 7 ล้านคัน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 12% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงผลักดันประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในฐานะฐานการผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลกด้วยยอดการส่งออกกว่า 5 ล้านคัน เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยียานยนต์ และคุณภาพการให้บริการภายใต้แนวคิด ‘Best in Town’ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในทุกยุคทุกสมัย
ยิ่งไปกว่านั้น โตโยต้ายังถูกยกให้เป็นหนึ่งในองค์กรบรรษัทภิบาลชั้นนำของประเทศ ที่ดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย ผ่านหลากหลายโครงการและนวัตกรรมเพื่อสังคม
อากิโอะ โตโยดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น
อากิโอะ โตโยดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การเติบโตของโตโยต้าในประเทศไทยเกิดขึ้นโดยมีคนไทยทุกคนเป็นส่วนสำคัญ
“สำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องของจำนวนยอดขายรถที่เราทำได้ที่นี่ สิ่งที่เราต้องการมอบให้ประเทศนี้มีมากกว่าแค่รถยนต์ เราตั้งใจเลือกประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถรุ่นใหม่ระดับโลกภายใต้โครงการ IMV ผมยังจำการแนะนำรถกระบะ Hilux Vigo ภายใต้โครงการ IMV ได้ เป็นความทรงจำที่ผมประทับใจมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการทำงานของผม
“เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ผมจึงตัดสินใจสร้างรถ IMV แบบใหม่ล่าสุด IMV-0 Concept และรถต้นแบบ Hilux Revo ที่มาในระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เป็นรถกระบะสำหรับประเทศไทย ทั้งสองรุ่นนี้แสดงถึงแง่มุมที่แตกต่างในเชิงยนตรกรรม ซึ่งตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน และเหมาะกับลูกค้าคนละกลุ่ม รุ่นหนึ่งถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนอีกรุ่นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น”
ร่วมเติมเต็มเป้าหมาย ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’
ภายในงานได้มีการนำเสนอถึงแนวทางการดำเนินงานที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ในการบรรลุเป้าหมายการสร้าง ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’ (Carbon Neutrality) อันเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของกลุ่มบริษัทโตโยต้าทั่วโลก
อากิโอะชี้ให้เห็นว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่ใช่ทางเลือกเดียวที่จะช่วยบรรลุเป้าหมายในระดับโลก เขาเชื่อว่าการสร้างสรรค์รถยนต์ให้ครบทุกประเภท ตั้งแต่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง รวมถึงทางเลือกอื่นๆ ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน อย่าง GR Yaris และ GR Corolla ซึ่งเป็นรถต้นแบบที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นทางเลือกในการช่วยลดคาร์บอนสำหรับลูกค้า
“เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เราจำเป็นต้องดำเนินงานร่วมกับอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ วันนี้โตโยต้าจับมือกับพันธมิตรใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั่นคือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยเราจะร่วมมือกันในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ โดยคิดทบทวนถึงวิธีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภค ด้วยเทคโนโลยีที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อย่างรถบรรทุกเซลล์เชื้อเพลิง และด้วยการพัฒนาให้ระบบการขนส่งด้วยรถยนต์ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ภายใต้ความร่วมมือนี้ เราจะยกระดับความพยายามของซีพีในปัจจุบัน ในการผลิตไฮโดรเจนสะอาดจากชีวมวล เช่น มูลไก่ อีกด้วย ผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมกับซีพี นำจุดแข็งที่เรามีอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างประโยชน์แก่ประเทศและผู้คนให้มากยิ่งขึ้น”
นอกจากพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่างซีพี ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท Commercial Japan Partnership Technologies Corporation (CJPT) ประกอบไปด้วย DAIHATSU, SUZUKI, ISUZU และ HINO โดยบริษัท CJPT ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาการขับเคลื่อนแห่งอนาคต โดยความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมของเรา เราชักชวนคู่แข่งให้มาร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และเฟ้นหาความเป็นไปได้ในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ร่วมกัน
นวัตกรรมการขับเคลื่อนยุคหน้า มุ่งสู่แนวทาง ‘Multi-Pathway’ ตอบสนองทุกรูปแบบความสุขของการเดินทาง
ในฐานะ ‘องค์กรแห่งการขับเคลื่อน ที่มุ่งมั่นในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกรูปแบบ’ โตโยต้ายังเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ ‘Multi-Pathway’ เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งปรัชญาของโตโยต้า ที่จะเป็น ‘ผู้นำพาการขับเคลื่อนสำหรับทุกคน’ โดยคำนึงถึงบริบทและปัจจัยในการเลือกใช้งานรถยนต์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม กำลังซื้อ พลังงานที่มีอยู่ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และศักยภาพทางอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศ
โตโยต้าจึงได้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และพลังงานทางเลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (HEV), รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV), รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) และนำรถต้นแบบ ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (HICEV: Hydrogen Internal Combustion Engine Vehicle) มาเผยโฉมต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย
ความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของโตโยต้า สะท้อนผ่านยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของโตโยต้าสะสมในประเทศไทยจนถึงปัจจุบันมีมากกว่า 150,000 คัน มีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 800,000 ตัน เทียบเท่ากับปลูกป่าบนพื้นที่ขนาด 97,000 ไร่ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 2.4 ล้านต้น
ภายในงานได้มีการจัดแสดงประวัติของโตโยต้า และบทบาทของโครงการ IMV (Innovative International Multi-purpose Vehicles) ที่มีต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่ตลาดโลก และเพื่อเป็นการสานต่อบทบาทของประเทศไทยในฐานะ ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ และ ‘เมืองหลวงศูนย์กลางรถกระบะโลก’ มากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดรถยนต์ในประเทศไทยถูกขับเคลื่อนด้วยรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ โตโยต้าจึงถือโอกาสจัดแสดงรถกระบะต้นแบบพลังงานไฟฟ้า (IMV BEV Concept) เพื่อแสดงถึงความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีรถกระบะในอนาคตอีกด้วย
โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
พร้อมขับเคลื่อนอนาคตและความสุขของผู้คน
โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้โตโยต้าเติบโตในระดับโลก เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตของโตโยต้า มียอดการผลิตสูงเป็นลำดับที่ 4 รองจากญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา ได้รับเลือกให้เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกหลากหลายพันธกิจสำคัญในภูมิภาคอาเซียน และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตจนยิ่งใหญ่เป็นลำดับที่ 10 ของโลก รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการพัฒนาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
“ที่ญี่ปุ่น การมีอายุครบ 60 ปี นับเป็นโอกาสที่พิเศษมาก เราเรียกกันว่า ‘คันเรกิ’ แปลว่า ‘การเกิดใหม่’ ที่เราจะกลับสู่การเริ่มต้นอีกครั้งด้วยภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมา วันนี้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เฉลิมฉลองคันเรกิของเราด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการดำเนินงานในทุกมิติ เราจะมอบประสบการณ์เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อศึกษาหาวิธีการพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อน เพื่อสร้างโลกที่ปราศจากการปล่อยมลพิษสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และพร้อมที่จะสนับสนุนเป้าหมายการดำเนินงานตามแนวทางของภาครัฐ ตลอดจนยกระดับการดำเนินงานในด้านสังคม เพื่อสิ่งแวดล้อมและผู้คนในสังคมต่อไป
“เรารู้สึกยินดีที่องค์กรของเราสามารถพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ เราจะไม่มีวันหยุดพัฒนาเพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า และร่วมขับเคลื่อนอนาคตที่ดีสู่พี่น้องชาวไทยต่อไปในอนาคต” โนริอากิ ยามาชิตะ กล่าว
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แสดงความชื่นชมต่อความมุ่งมั่นของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยตลอด 6 ทศวรรษ โดยให้การสนับสนุนและร่วมมือต่อนโยบายของภาครัฐ ทั้งในด้านการลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิต และขยายผลทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นฐานการผลิตรถยนต์ทั้งจำหน่ายในประเทศ และส่งออกไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ช่วยส่งเสริมการจ้างงานในประเทศกว่า 280,000 คน ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และห่วงโซ่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องให้เติบโตจนเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ส่งเสริมภาคเศรษฐกิจของประเทศ
“ตอนนี้อุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ รัฐบาลไทยจึงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศ ให้เกิดเป็นรูปธรรมตามแนวนโยบาย 30@30”
สุพัฒนพงษ์เชื่อมั่นว่า ภายใต้การก้าวสู่ยุคแห่งยานยนต์ยุคหน้านี้ บริษัท โตโยต้าฯ จะมีการนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ สู่ชาวไทย ตลอดจนมีแผนพัฒนายานยนต์เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของภาครัฐอย่างแน่นอน ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในทุกด้านเพื่อส่งเสริมการพัฒนาแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตลอดจนเพื่อเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง และความยั่งยืนของทั้งสองฝ่ายร่วมกันตลอดไป
‘Closer to Customer’ ใกล้ชิดยิ่งขึ้นตลอดการเดินทาง
มากไปกว่าบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตลอด 6 ทศวรรษ โตโยต้าได้กำหนดแผนการดำเนินงานในมิติต่างๆ คำนึงถึงบริบทที่เหมาะสมกับสังคมไทยอยู่เสมอ โดยให้ความสำคัญกับแนวคิด ‘Closer to Customer’ หรือใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการทำงานร่วมกับเครือข่ายทางธุรกิจในการนำเสนอนวัตกรรม หรือผลิตภัณฑ์เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อเพื่อสร้างความสะดวกสบายในการเดินทาง (Connected) การบริการการขับเคลื่อนในรูปแบบของการแบ่งปันการใช้งาน (Sharing) พร้อมปลูกฝังแนวคิดการส่งมอบงานที่เปี่ยมด้วยคุณภาพจากความทุ่มเท ทักษะ และความมุ่งมั่นของพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความอุ่นใจตลอดการใช้งาน
หรือในมิติสังคม โตโยต้าทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น การรณรงค์ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนผ่านโครงการ ‘โตโยต้า ถนนสีขาว’ การส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการ ‘โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์’ การพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ผู้ด้อยโอกาสผ่านการดำเนินงานของ ‘มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย’ รวมถึงการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมของโตโยต้า 2050 ‘Toyota 6 Environmental Challenge 2050’ ว่าด้วยความท้าทาย 6 ประการในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการกำจัดผลิตภัณฑ์เมื่อสิ้นอายุการใช้งานอย่างถูกวิธี การบูรณาการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการที่เกี่ยวเนื่องตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ รวมถึงขยายผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมสู่สังคมผ่านหลากหลายกิจกรรม ภายใต้โครงการ ‘โตโยต้า เมืองสีเขียว’ หรือการศึกษาแนวทางการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการคมนาคมในยุคหน้าผ่านโครงการ ‘การจัดตั้งเมืองที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ’ (Decarbonized Sustainable City) เป็นต้น
“ผมอยากขอขอบคุณทุกท่านในฐานะสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวโตโยต้าในระดับโลก เมื่อเราร่วมมือกัน ผมเชื่อว่าทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ เราจะสามารถช่วยทำให้โลกใบนี้เป็นที่ที่ดียิ่งขึ้น และค่อยๆ เพิ่มรอยยิ้มไปด้วยกัน” อากิโอะ โตโยดะ กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เผยโฉม Toyota bZ4X ต้นแบบรถไฟฟ้า 100% คันแรกของ Toyota วางขายจริงปี 2022
- อากิโอะ โทโยดะ ซีอีโอ Toyota เผยแล้ว เหตุผลที่ไม่กระโจน ‘สู่สายพาน EV’ ย้ำ EV ยังไม่ใช่กระแสหลัก
- Toyota x รัฐหนุน EV การกลับลำทางนโยบายครั้งสำคัญ แต่ ‘ส้มหล่น’ อยู่กับ ‘ค่ายรถแดนมังกร’