×

คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้

19.08.2025
  • LOADING...

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีที่เดียวในโลกเปิดทางนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้คริปโตฯ แลกบาท จ่ายซื้อสินค้า หนุนภาคท่องเที่ยว

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’ เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า และบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ปลอดภัย

 

โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

สำหรับโครงการนี้ว่า เป็นการนำระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมาเชื่อมโยงกัน โดยให้ Exchange ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยเป็นผู้แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินบาท แล้วโอนเข้าบัญชี E-Money ของนักท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ โดยจะมีการทำ KYC (Know Your Customer) อย่างเข้มงวด เพื่อตรวจสอบตัวตนและยืนยันว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจริง

 

“เรากำลังสร้างฟีเจอร์ที่จะเป็นรูปแบบเดียวของโลกที่มีไม่เหมือนใคร คือเราไม่ได้ใช้คริปโทฯ เป็นเงินโดยตรง แต่แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน ซึ่งต่างจากบางประเทศที่ใช้คริปโทฯ เป็นสกุลเงินหลัก นอกจากนี้เรายังไม่ได้ผูกคริปโทฯ เข้ากับบัตรเครดิต เพราะร้านค้าในไทยจำนวนมากไม่ได้รองรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต” พิชัยกล่าว

 

ภาพ: บรรยากาศงานแถลงข่าว การเปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’

 

ยืนยัน ‘TouristDigiPay ไม่ใช่ ‘Means of Payment’

 

พิชัย ได้ย้ำต่อว่าโครงการ ‘TouristDigiPay’ นี้ ไม่ใช่การใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็น Means of Payment หรือสื่อกลางในการชำระเงินโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเงินบาทไทยก่อนการใช้จ่ายจริง

 

โดยการออกแบบนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการและร้านค้ารายย่อยในประเทศอาจเผชิญ หากต้องรับคริปโทฯ โดยตรง ซึ่งมีความผันผวนสูงและจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่ซับซ้อน

 

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ยังไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเข้าถึงร้านค้ารายย่อย

 

พิชัยกล่าวต่อว่า การแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อนใช้จ่าย จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยทั่วไปสามารถรับการชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบใด ๆ เนื่องจากเมื่อนักท่องเที่ยวชำระเงินเข้ามา ร้านค้าก็จะได้รับเป็นเงินบาทปกติ และไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล

 

หวังดันนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเพิ่มอีก 1.75 แสนล้านบาท

 

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 50,000 บาทต่อทริป หากโครงการนี้สามารถจูงใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มการใช้จ่ายได้ 10% จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.75 แสนล้านบาท

 

“เราไม่ได้คาดหวังให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโทฯ 100% แต่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมคนละ 50,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 55,000 บาท เนื่องจากความสะดวกในการใช้จ่าย” พิชัยกล่าว

 

มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการใช้งาน

 

โครงการ TouristDigiPay ยังอยู่ในระยะของโครงการนำร่อง ‘Sandbox’ โดยมีการกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ที่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน และวงเงินสูงสุดในการใช้จ่ายต่อรายการไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการฟอกเงิน โดยระบบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และธปท.

 

เฟสต่อไปจ่อเพิ่มวงเงินเปิดทางใช้ซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูงได้

 

ด้านลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมที่จำกัดพื้นที่ มาเป็นการจำกัดวงเงินแทน โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ทั่วประเทศ แต่มีเพดานวงเงินแบบ

 

ลวรณ กล่าวต่อว่า ในอนาคตหากการใช้เงินดิจิทัลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการซื้อขายสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือเรือยอชต์ผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มมีการดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว

 

ก.ล.ต. คาด TouristDigiPay เริ่มเปิดใช้ในไตรมาส 4 นี้

 

ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 4/2568 โดยคาดว่าจะมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม 1-2 รายแรกที่สามารถเริ่มให้บริการได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสนใจแล้วกว่า 35 ราย

 

โปรเจกต์ Sandbox นี้มีระยะเวลา 18 เดือน หากการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ก็เชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้จะสามารถขยายผลในวงกว้างได้ในอนาคต

 

สำหรับโครงสร้างของ TouristDigiPay ใช้ Ecosystem เดิม ที่มีอยู่แล้ว โดยฝั่งหนึ่งคือระบบของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เช่น ศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือระบบการชำระเงินของภาคธุรกิจทั่วไป ซึ่งรวมถึง Tourist Wallet ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ผู้ให้บริการในโครงการนี้จึงเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากทั้ง ก.ล.ต. และ ธปท. รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลเรื่องกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ดังนี้

 

  • ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้ารายย่อย
  • ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ know your merchant (kym)

 

นอกจากนี้ โครงการนี้ไม่มีการจำกัดพื้นที่ สามารถเข้าถึงได้ทุกร้านค้าในประเทศไทย และคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ได้ทันช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 นี้

 

 

ดร. พรอนงค์ ย้ำว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ การใช้คริปโตฯ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการโดยตรง (Means of payment) แต่เป็นการ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ จากคริปโตฯ เป็นเงินบาท แล้วนำเงินบาทที่ได้ไปใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินปกติ เช่น QR Code การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อร้านค้า

 

สำหรับสกุลเงินคริปโตฯ ที่สามารถใช้ได้นั้น ไม่มีการจำกัด โดยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละรายว่าจะลิสต์เหรียญใดไว้บ้าง และเมื่อนักท่องเที่ยวแลกเงินบาทไปแล้ว แต่ใช้ไม่หมด ก็สามารถนำเงินบาทที่เหลือมาแลกกลับเป็นคริปโตฯ สกุลเดิม หรือสกุลอื่นเพื่อโอนกลับไปยัง Wallet ของตนเองได้เช่นกัน

 

 

ปปง. ยืนยันมีความพร้อมในการตรวจสอบการฟอกเงิน

 

เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ถึงมาตรการความพร้อมในการรับมือกับโครงการ TouristDigiPay โดยยืนยันว่า ปปง.มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและสกัดกั้นการฟอกเงินตั้งแต่ต้นทาง

 

โดย ปปง.ทำงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกระบวนการที่เงินจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง ทั้งในส่วนของ การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) และ การตรวจสอบสถานะลูกค้า (CDD) “เรามั่นใจในกระบวนการทำงานของเรา เพราะเราเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง โดยมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น” เลขาธิการ ปปง.กล่าว

 

เมื่อถูกถามถึงกรณีที่อาจมีเงินผิดกฎหมายหลุดรอดไปถึงปลายทาง เลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า “หากมีการเปลี่ยนเงินดิจิทัลกลับมาเป็นเงินสด เราก็จะมีการตรวจสอบอีกครั้ง”

 

นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า ปปง. มีความพร้อมอย่างเต็มที่แม้จะมีการขยายเวลาโครงการหรือเพิ่มวงเงินในอนาคต

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising