ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics กล่าวว่า ในช่วงการระบาดโควิด-19 แบ่งการรับมือเป็น 2 เฟส ได้แก่
เฟส 1: ‘หยุดเชื้อเพื่อชาติ’ เพื่อให้ความเสียหายไม่ยืดเยื้อ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินการประกาศเคอร์ฟิวและการล็อกดาวน์ของจังหวัดต่างๆ ส่งผลกระทบต่อประชาชน ลูกจ้าง แรงงานราว 9 ล้านคน ที่ต้องสูญรายได้ไป และภาคธุรกิจที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว เกิดปัญหาด้านสภาพคล่องตามมา โดยคาดว่าเฟส 1 นี้จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน (มีนาคมถึงพฤษภาคม)
เฟส 2: ‘ฟื้นตัวสู่ปกติ’ เป็นช่วงหลังการแพร่ระบาดคลี่คลาย (คาดตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป) กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับมาฟื้นตัว #หยุดเชื้อเพื่อชาติ บวกมาตรการเยียวยา ช่วยยืดเวลาให้ลูกจ้างและธุรกิจประคองตัวอยู่รอด
เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจหลายประเภทต้องหยุดกิจการชั่วคราว ย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของลูกจ้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
สอดคล้องกับการสำรวจของ TMB Customer Insight ในปี 2561 พบว่า 50% ของคนไทยที่มีอายุ 18-54 ปี หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น กรณีตกงาน จะมีเงินเก็บสำหรับการใช้จ่ายได้เฉลี่ย 2 เดือนเท่านั้น ดังนั้นการมีมาตรการเยียวยาเร่งด่วนอัดฉีดเงินในเฟสนี้เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยต่อเวลาออกไป
ล่าสุดมาตรการใส่เงินชดเชยรายได้ 5 พันบาทต่อเดือน ได้ขยายเวลาช่วยเหลือเป็น 6 เดือน ซึ่งจะครอบคลุมลูกจ้างและแรงงานราว 9 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินราว 2.7 แสนล้านบาท จะช่วยเยียวยาให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตในช่วง #หยุดเชื้อเพื่อชาติ ซึ่งหากนับการเพิ่มสภาพคล่องให้โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงินรายละไม่เกิน 1-5 หมื่นบาท บวกกับมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายทั้งหลาย จะช่วยลดผลกระทบที่ลูกจ้างและแรงงานได้รับในขณะนี้
ทั้งนี้จากการประเมินเบื้องต้น มาตรการเยียวยาทั้งการให้เงินและการให้สินเชื่อจะทำให้มีเงินหมุนเวียนกลับมาราว 1.88 แสนล้านบาท หรือช่วยหนุนให้โตขึ้นได้ 2.3% ของการบริโภคภาคเอกชน ในทำนองเดียวกัน เมื่อประเมินจากวงจรการดำเนินธุรกิจ (Operating Cycle) พบว่า โดยทั่วไป SMEs จะมีสภาพคล่องรองรับเหตุการณ์ช็อกต่างๆ ได้โดยเฉลี่ยที่ 3 เดือน
ดังนั้นมาตรการช่วยเติมสภาพคล่องโดยให้ Soft Loan แก่ธุรกิจ SME ซึ่งรวมมาตรการสินเชื่อทั้ง 3 ระยะที่ออกมาแล้ว วงเงินทั้งสิ้น 8 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยยืดเวลาออกไปได้อีก 2 เดือน
ทั้งนี้เมื่อลงรายละเอียดถึงประเภทธุรกิจได้รับผลกระทบจากมาตรการเข้มข้นล็อกดาวน์จะตกอยู่กับกลุ่มธุรกิจบริการมากสุด เนื่องจากมีสภาพคล่องเพียงพอจะรองรับเหตุการณ์ช็อกได้เฉลี่ยอยู่ที่ 2 เดือน (มีนาคมถึงเมษายน) ซึ่งได้แก่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริการท่องเที่ยว สถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ ขนส่งผู้โดยสาร เป็นต้น
รองลงมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ระยะเวลาช็อกเฉลี่ยอยู่ที่ 4 เดือน (มีนาคมถึงมิถุนายน) ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมเหล็ก ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
คาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีความจำเป็นหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว (มิถุนายนเป็นต้นไป) โดยเม็ดเงินในส่วนนี้ตาม พ.ร.ก. กู้เงินจะอยู่ที่ 4 แสนล้านบาทและหากรัฐออกมาตรการการเงินและการคลังเพิ่มเติมอีก จะช่วยเร่งให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น ได้แก่ มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น ท่องเที่ยวในประเทศ การบริโภคในประเทศ รวมไปถึงที่อยู่อาศัยและรถยนต์ การให้สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูกิจการหรืออาชีพ มาตรการลดภาษีเงินได้ ขณะที่มาตรการเยียวยาที่ใช้ในเฟส 1 มีความจำเป็นน้อยลง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า