*(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาซีรีส์)
เมื่อวันอังคารที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ซีรีส์ This Is Us ของประเทศอเมริกาปิดฉากซีซัน 2 ทางช่อง NBC พร้อมเรตติ้งมากกว่า 10 ล้านคน ตัวเลขที่ไม่ได้มาง่ายๆ โดยเฉพาะในยุคที่คนดูไม่จำเป็นต้องรอดูสดๆ หน้าทีวีและหันไปดูออนไลน์ได้ (ทั้งถูกและผิดกฎหมาย)
หลังจากซีซันหนึ่งที่ออกอากาศไปเมื่อปี 2016 This Is Us กลายเป็นอีกหนึ่งรายการที่ทำให้ NBC กลับมาเป็นผู้นำในสนามแข่งโทรทัศน์ แถมขึ้นแท่นอยู่ในลิสต์ซีรีย์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนักวิจารณ์แทบจะทุกสำนัก และมีรายชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีถึง 10 สาขาตีคู่แข่งกับซีรีส์จากช่องเคเบิลและสตรีมมิงได้อย่างสมศักดิ์ศรี ซึ่งพูดได้ว่าคล้ายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทางช่อง 3 กับละครเรื่องบุพเพสันนิวาส
พบกับครอบครัว Pearson
This Is Us เล่าเรื่องราวของครอบครัวเพียร์สัน (Pearson) นำโดยแจ็ค (ไมโล เวนติมิเลีย) กับ รีเบคก้า (แมนดี้ มัวร์) พร้อมทั้งลูกสามคน เควิน (จัสติน ฮาร์ตลีย์) เคท (คริสซีย์ เมตซ์) และลูกบุญธรรมแรนดัล (สเตอร์ลิง เค. บราวน์) โดยนำเสนอชีวิตและปัญหาที่ลูกแต่ละคนจะต้องเผชิญ
เควินเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่กำลังเบื่อและไม่อินกับสิ่งที่ทำ เคทต้องต่อสู้กับความไม่มั่นใจในตัวเองเพราะน้ำหนักและรูปลักษณ์ภายนอก ส่วนแรนดัลที่มีครอบครัวอบอุ่นและหน้าที่การงานดีก็กำลังเผชิญกับวิกฤตวัยกลางคน เหล่านี้บอกผ่านชีวิตตอนเด็กและวัยรุ่น ซึ่งนี่คือซีรีส์ดราม่าครอบครัวที่ทำให้นึกถึงปัญหาที่คนดูหลายๆ คนกำลังต่อสู้อยู่ เรื่องราวที่ดูสะท้อนความเป็นจริงและจับต้องได้ทำให้ครอบครัวเพียร์สันเป็นเหมือนเพื่อนบ้านข้างๆ ที่เรารู้จักและเข้าใจชีวิตของพวกเขา
ฉีกกฎเกณฑ์การเล่าเรื่อง
จุดขายที่ทำให้ This Is Us เป็นมากกว่าซีรีส์ทั่วไปคือ บท ลำดับการเล่าเรื่อง และทวิสต์หรือการหักมุม ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กับซีรีส์อาชญากรรมหรือสืบสวนสอบสวน มากกว่าดราม่าครอบครัว ดังนั้นเมื่ออีพีแรกของซีซันแรกออกอากาศ This Is Us ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น เพราะการตัดต่อบอกเล่าช่วงเวลาในชีวิตที่สะท้อนความเป็นอยู่และอุปนิสัยของตัวละครในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในซีซันสองยังได้นำการเล่าเรื่องแบบใหม่มาหักมุมให้คนดูได้ตื่นเต้นกันอีก ซึ่งแน่นอนว่าความดีความชอบเหล่านี้ตกเป็นของทีมนักเขียนบทและผู้สร้าง แดน โฟเกลแมน (Dan Fogelman) ที่พยายามฉีกกฎการเล่าเรื่องราว รวมถึงสายตาที่กว้างไกล เพราะการนำเสนอวิธีการใหม่หรือหักมุมช่วงท้ายของซีรีส์บางตอน เป็นเหมือนแค่กิมมิกไม่ใช่องค์ประกอบหลักของซีรีส์
กระตุกต่อมน้ำตา
เตรียมกระดาษให้พร้อม เพราะซีรีส์แต่ละตอนต้องทำให้บ่อน้ำตาแตกแน่ๆ เคล็ดลับความสำเร็จของ This Is Us เป็นมากกว่าเทคนิคการเล่าเรื่อง บทและมิติที่สร้างให้กับตัวละครทำให้คนดูมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์ไปกับตัวละครทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแสนสุข หรือช่วงเวลาที่เศร้าที่สุด เราเข้าใจ เห็นใจ ร้องไห้ไปด้วยกันได้ บทพูดไม่ว่าจะเป็นคำสอนของแจ็คกับลูกๆ หรือตัวละครอื่นๆ มีความหมายที่ลึกซึ้ง สมจริง และกัดกินใจอย่างมาก หลายครั้งที่ซีรีส์พยายามจะสร้างตัวละครให้ดูเศร้า แต่กลายเป็นว่าน่ารำคาญเพราะพยายามมากเกินไป แต่ไม่ใช่สำหรับ This Is Us ตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้มาพร้อมบทพูดที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้เราพร้อมจะร่วมทุกข์และร่วมสุขไปกับพวกเขา
นักแสดงครบรส
คุณจำได้ไหมว่าหนังเรื่องล่าสุดของนักร้องนักแสดงสาว แมนดี้ มัวร์ คือเรื่องอะไร?
จุดเด่นที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากไม่ว่าเรตติ้งคนดู นักวิจารณ์ และรางวัลต่างๆ คือเหล่านักแสดงที่แคสต์มาอย่างพิถีพิถัน ซึ่งทำให้การถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครดีเยี่ยม อย่างเช่น แมนดี้ มัวร์ ที่ห่างหายไปจากการแสดง เธอกลับมาคืนจอในบทแม่ ที่ถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครได้ดี จนทำให้นึกถึงเธอในหนังเรื่อง A Walk to Remember ซึ่งเป็นการคัมแบ็กอย่างสมภาคภูมิ
ด้าน ไมโล เวนติมิเลีย ที่หลายคนรู้จักผ่าน Gilmore Girls และ Heroes ก็มาสวมบทคุณพ่อโชว์ฝีไม้ลายมือการแสดงได้อย่างสมบทบาท ส่วนนักแสดงคุณภาพอย่าง สเตอร์ลิง เค. บราวน์ ที่เพิ่งจะแสดงเรื่อง The People v. O.J. Simpson: American Crime Story และทำให้เขาได้รับถ้วยเอ็มมี ก็มาสวมบทแรนดัลได้อย่างไม่มีที่ติ ปล่อยของในทุกๆ ตอน
นอกจากนักแสดงนำที่เลือกมาได้สมบทบาทตัวละคร This Is Us เองก็เลือกนักแสดงสมทบได้อย่างดี ทำให้การเล่าเรื่องลื่นไหลและน่าติดตาม กระแสความโด่งดังของซีรีส์ทำให้มีนักแสดงแถวหน้าตอบรับมาเล่นบทสมทบได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ รอน ฮาเวิร์ด หรือ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ที่นอกจากจะเป็นตัวละครที่แจ็คชื่นชอบจากหนังเรื่อง Rocky เขายังมารับบทนักแสดงนำในภาพยนตร์ที่เควินแสดงด้วย
ตอบโจทย์บริบทสังคม
หากมองภาพรวมของประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญปัญหาทางการเมืองและสังคมอยู่ ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเสมือนกระบอกเสียงที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวผิวขาวและลูกบุญธรรมผิวสีที่ดูสมจริง และผู้คนเข้าถึงได้
ในขณะที่ซีรีส์ตำรวจและกฎหมายมีกันอยู่เกลื่อน ซีรีส์ครอบครัวอย่าง Parenthood ของสถานี NBC ได้ปิดฉากลง การเลือก This Is Us มาฉายนอกจากจะช่วยเติมเต็มช่วงว่างที่คนดูต้องการ ยังเป็นการตอบรับบริบททางสังคมที่หยิบเอาประเด็นความหลากหลายทางเชื้อชาติมาเล่า นอกจากนั้นยังมีการหยิบปัญหาอื่นๆ อย่าง ความอ้วน การติดสุรา วิกฤตวัยกลางคน การรับบุตรบุญธรรมและครอบครัวอุปถัมภ์ มาใช้เล่าเรื่องด้วย
แม้ว่าตัวเนื้อหาอาจจะหนัก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือความรัก ความเข้าใจ และสายสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่นอกจากจะทำให้หัวใจคนดูอิ่มล้นแล้ว ยังเป็นสิ่งที่สังคมในขณะนี้ต้องการ
กู้หน้าเครือข่ายสถานี
ในยุคที่บริการสตรีมมิงอย่าง Netflix และ Amazon กลายมาเป็นคู่แข่งหลัก ส่วนช่องเคเบิลอย่าง HBO ก็คว้าถ้วยรางวัลกันอย่างล้นมือ เรตติ้งสถานีสาธารณะ หรือ Free TV จึงมีแต่จะถดท้อย ทางช่อง NBC เองนอกจากจะมีเรียลิตี้ The Voice เป็นตัวชูโรง ทางช่องก็พยายามจะหารายการใหม่ที่นอกจะจากต้องเรียกเรตติ้งคนดูแล้ว ยังต้องได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และคว้ารางวัลต่างๆ มาประดับช่องได้
This Is Us เป็นซีรีส์ดราม่าที่เข้ามาแข่งกับช่องเคเบิลและสตรีมมิงได้อย่างสมศักดิ์ศรี มาเสริมทับเรตติ้งจนกลายมาเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มสัดส่วนคนดูช่วงอายุ 18-49 ปี ในช่วงปี 2016-2017 ตีคู่มากับแชมป์หลายสมัยอย่าง CBS แต่สิ่งที่ทำให้ NBC เหนือคนอื่นคือการได้รับเสนอชื่อและชัยชนะจากเวทีรางวัลต่างๆ โดยเฉพาะสาขาซีรีส์ดราม่าที่โดยส่วนมากจะตกเป็นของช่องเคเบิล
ความสำเร็จของ This Is Us ถือว่าเป็นตัวสำคัญที่ทำให้หลายคนหันมาดูซีรีส์เรื่องนี้ ทาง NBC เองก็เอาตอนที่สำคัญที่สุดมาออกอากาศต่อจากการแข่งขัน Super Bowl เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เรียกคนดูมากกว่า 20 ล้านคน แต่สิ่งที่ทำให้คนดูดูต่อคือความสุขและความเศร้าที่ได้รับ บทเรียนชีวิตที่เข้าถึงและเข้าใจ และสิ่งที่ใกล้ตัวคนเราทุกคนที่สุด นั่นก็คือสถาบันครอบครัว
This Is Us ออกอากาศทางสถานี NBC ทุกวันอังคาร ฉายมาแล้วทั้งหมด 2 ซีซัน มีทั้งหมด 36 ตอน
อ้างอิง: