ความเคลื่อนไหวของโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ซึ่งนอกจากการใช้จ่ายของประชาชนแล้ว อีกด้านหนึ่งที่น่าจับตาก็คือการแข่งขันของผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี
วานนี้ (5 พ.ย.) ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ได้เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ว่า หลังจากมีการเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเลือกแพลตฟอร์มดิลิเวอรรี่ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมาพบว่า ยอดสมัครของ LINE MAN Wongnai มีตัวเลขที่มาเป็นอันดับ 1
โดยระบุว่าในวันแรก มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการผ่าน LINE MAN ประมาณ 30,000 ร้านค้า จากยอดสมัครรวมทั้งระบบที่คาดว่าอยู่ที่ราว 50,000 ร้านค้า ทำให้ LINE MAN มีส่วนแบ่งตลาดในวันแรกสูงถึง 64%
ในวันที่สอง มียอดสมัครเพิ่มเข้ามาอีก 5,000 ร้านค้า ทำให้ยอดรวมร้านค้าที่สมัครผ่าน LINE MAN อยู่ที่ประมาณ 35,000 ร้านค้า บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าได้เป็นอันดับ 1 ในโครงการนี้อย่างค่อนข้างชัดเจนแล้ว
“ปัจจัยหลักของความสำเร็จมาจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้ากลุ่ม Stand-alone และร้านขนาดเล็ก ซึ่งเป็นฐานที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่สมัย Wongnai ทำให้เรามั่นใจว่า LINE MAN จะเป็นแพลตฟอร์มที่ร้านค้าเลือกเป็นเบอร์ 1 เหมือนครั้งที่แล้ว”
ยอด ยังคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มยอดออเดอร์ให้แพลตฟอร์มได้ประมาณ 30% โดยเฉพาะในเดือนแรก และคาดว่าจะได้ฐานผู้ใช้งานใหม่ (New User) ที่ไม่เคยใช้ฟู้ดเดลิเวอรีมาก่อนเพิ่มขึ้นหลายแสนคน
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ยอดใช้จ่ายต่อออเดอร์ (Spending per bin) จะเพิ่มขึ้น ราว 10% เนื่องจากวงเงินสนับสนุนจากรัฐบาลที่ 200 บาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ยอดยอมรับว่าความท้าทายหลักของโครงการนี้คือ ‘งบการลงทุน’ เพราะต้องเผชิญการแข่งขันจากทุกแพลตฟอร์มที่ต้องทุ่มงบประมาณในการลดค่า GP, ทำการตลาด และลดค่าส่ง เพื่อดึงดูดลูกค้า
โดย LINE MAN ได้ลดค่า GP เหลือ 7% สำหรับร้านที่เข้าร่วมวันแรก และ 9% GP สำหรับออเดอร์คนละครึ่งพลัส ที่สมัครเข้าร่วมโครงการหลังวันดังกล่าวจนจบโครงการ, ขยายระยะทางส่งฟรีเป็น 5 กิโลเมตร, อัดงบการตลาด 300 ล้านบาทผ่านแคมเปญต่าง ๆ
สำหรับ LINE MAN นั้นคาดว่าจะ ‘ขาดทุน’ สำหรับโครงการนี้หลักร้อยล้านบาท แต่นี่ถือเป็นการลงทุนที่จำเป็นเพื่อรักษาฐานลูกค้าและให้ลูกค้าใช้งานต่อเนื่องในอนาคต
สำหรับเฟส 2 คาดว่าภาครัฐจะเน้นเรื่องการอัพสกิลผู้ประกอบการมากกว่าการอุดหนุนงบประมาณ ซึ่ง LINE MAN วางแผนที่จะใช้ประโยชน์จาก Ecosystem ที่มี เช่น ระบบ POS เพื่อช่วยให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบดิจิทัลและเห็นข้อมูลการขายของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน (เวลา 17:29 น.) ได้อัปเดตภาพรวมโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ว่ามีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลและเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 856,167 ราย
และมียอดใช้จ่ายสะพัดในโครงการฯ รวม 17,042.34 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 8,417.32 ล้านบาท และเงินที่ประชาชนจ่าย 8,625.02 ล้านบาท


