×

ถอดทุกรหัส เพื่อน..ที่ระลึก ทำหนังผีอย่างไรให้เป็นมากกว่าหนังผี! กับ จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์

11.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 Mins read
  • จิม โสภณ บอกว่า เสน่ห์ของ ‘ตึกสาธรยูนีค’ ในวันนี้เกิดการผสมขึ้น 3 ส่วนคือ สิ่งที่ผู้ออกแบบได้สร้างไว้ ธรรมชาติที่ผ่านเวลามาเรื่อยๆ และสิ่งที่ผู้คนแวะเวียนเข้าไปทำอะไรกับมัน นั่นทำให้เกิดเป็นความสวยงามที่น่าสนใจ ฉะนั้นตอนเขียนบท เพื่อน..ที่ระลึก เขาจึงเขียนขึ้นโดยมีภาพของตัวละครวิ่งขึ้น-ลงที่ตึกแห่งนี้มาตลอด ซึ่งในวันที่บทเสร็จแล้วต้องเข้าไปขออนุญาต หากโดนปฏิเสธ ทีมงานก็ต้องใช้ตึกอื่น ซึ่งคงจะน่าเสียดายมาก  
  • ตึกสาธรยูนีคมีทั้งหมด 49 ชั้น (ถ้านับรวมชั้นใต้ดินอีก 2 ชั้น) แต่จุดที่สวยที่สุดคือชั้น 47 ที่โครงสร้างถูกออกแบบไม่เหมือนชั้นอื่นๆ เพื่อให้ได้เห็นวิวที่เปิดกว้าง และเป็นด้านที่หันไปทางโค้งน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างพอดี มันจึงถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลัก โดยเฉพาะฉากสำคัญที่ตัวละครเด็กสาวสองคนขึ้นไปยิงตัวตาย ทั้งที่แผนการเดิมของทีมงานคือตั้งใจจะถ่ายทำในชั้นที่ต่ำที่สุด
  • “ความจริงเรามองเศรษฐกิจเป็นเรื่องผีก็ได้นะ เราเคยสร้างปัญหาไว้ เพราะเคยสัญญากับเพื่อนซึ่งกลายเป็นผีไปแล้วว่าจะตายไปด้วยกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับสัญญาที่เราเคยกู้เงิน คือเรามีสิ่งที่ต้องจ่าย มันไม่ได้หมายความว่าพอผ่านวันเวลาไป 20 ปีแล้วเราไม่จำเป็นต้องจ่าย ความจริงคือเรายังต้องถูกทวงอยู่เรื่อยไป …”
  • “เราเริ่มต้นคิดหนังจากความดราม่า จากความรู้สึกของตัวละครก่อน แล้วเรื่องของผีค่อยตามมาทีหลัง สำหรับผม หนังเรื่องนี้มันเลยเป็นหนังดราม่าที่มีผี ซึ่งต่างจากที่ผ่านมา”

     ‘สาธร ยูนีค ทาวเวอร์’  

     เพียงภาพแรกและภาพเดียวก็ทรงพลังพอจะทำให้คนไทยอยากดู เพื่อน..ที่ระลึก (The Promise) หนังเรื่องที่ 4 ของ จิม-โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ตั้งแต่แรกเห็นแบบไม่จำเป็นต้องอวดผี

    นอกจากนั้นหนังยังเต็มไปด้วย ‘กิมมิก’ อีกหลายองค์ประกอบที่ทำให้ THE STANDARD รู้สึกได้ว่านี่เป็น ‘หนังผี’ ที่มีอะไรมากกว่าความเป็นหนังผี ไล่เรียงตั้งแต่แบ็กกราวด์ของเรื่องในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540, ยุคเพจเจอร์, สมุดสติกเกอร์, ซาวอะเบาต์, เพลง เดียวดายกลางสายลม ซึ่งผูกโยงไว้กับ ‘คำมั่นสัญญาระหว่างเพื่อน’

     ถ้าย้อนกลับไปดูผลงานเรื่องก่อนๆ ของจิมอย่าง โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต (2551), ลัดดาแลนด์ (2554), ฝากไว้..ในกายเธอ (2557) หนังผีของเขาก็มักจะมีอะไรให้คนดูมากกว่า ‘ความกลัว’ อยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้นกับหนังผีเรื่องใหม่ (ที่ถึงขั้นบอกกล่าวว่ามี ‘ตึกร้าง’ ร่วมเป็นนักแสดงที่ไม่มีชีวิต) การได้นั่งคุยกับจิม ผู้กำกับหนังผีที่ชื่นชอบการดูหนังผี ชอบทำหนังผี และเป็นคนกลัวผี ก็น่าจะได้มุมมองที่น่าสนใจว่า ‘ตกลงแล้วหนังผีที่ดีสำหรับเขานั้นหมายความว่าอะไร’

 

 

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นไอเดียของ เพื่อน..ที่ระลึก เรารู้สึกว่าหนังมันเต็มไปด้วยกิมมิกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากเรื่องผี มันยังเต็มไปด้วยสิ่งของแห่งความทรงจำจากปี 2540 เต็มไปหมด ทั้งตึกสาธรยูนีค, วิกฤตต้มยำกุ้ง, เพจเจอร์, สมุดสติกเกอร์ ฯลฯ

     เริ่มต้นจากการที่ พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล เปิดเว็บไซต์หนึ่งของฝรั่งให้ผมดู เนื้อหาในเว็บเขาขนานนาม ‘ตึกสาธรยูนีค’ ว่าเป็น ‘Bangkok Ghost Tower’ ในนั้นจะมีรูปที่ทำให้เราเห็นสภาพด้านในของตึก ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาแอบขึ้นไปถ่ายหรือเปล่า แต่จากภาพที่เห็นจะมีทุ่งหญ้าอยู่ตรงระเบียงของตึก ซึ่งผมรู้สึกว่ามันแปลกตาดี

     ความจริงเราผ่านตึกนี้บ่อยนะ เพราะต้องนั่งรถไฟฟ้าผ่านสถานีสะพานตากสิน เพียงแต่เราไม่เคยเห็นด้านใน ปกติเวลาเราเห็นสถานที่ร้างๆ จะเกิดความรู้สึกว่าที่นี่น่ากลัว แต่กับตึกสาธรยูนีค จะมองว่ามันน่ากลัวอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เพราะตึกมันมีความสวยในเชิงสถาปัตยกรรมด้วย (ออกแบบโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ สถาปนิกชื่อดังและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์) แล้วพอสิ่งเหล่านี้มันถูกทิ้งร้าง มันก็จะเริ่มเกิดร่องรอยความเก่าขึ้นตามกาลเวลา เช่น ปูนจะมีคราบตะไคร่น้ำเกาะอยู่หน่อยๆ มีคนขึ้นมาพ่นกราฟฟิตี้

     ตึกสาธรยูนีคในวันนี้เลยเกิดการผสมขึ้น 3 อย่างคือ สิ่งที่ผู้ออกแบบได้สร้างไว้ ธรรมชาติที่ผ่านเวลามาเรื่อยๆ และสิ่งที่ผู้คนแวะเวียนเข้าไปทำอะไรกับมัน มันเลยเกิดเป็นความสวยที่น่าสนใจ ผมว่าตอนที่เดินเข้าไปมันเพลินมากเลยนะ มันเหมือนเรากำลังเดินเข้าไปดูงานอาร์ตอยู่ที่ไหนสักที่

     พอได้เห็นภาพรวมของมันเราก็เกิดความสนใจ ตึกแบบนี้มันมาตั้งอยู่กลางสาทรได้ยังไงวะ

     แต่ตอนที่พี่เก้งเอาเว็บไซต์นี้มาให้ดู เขาก็เอามาพร้อมกับอีกสิ่งที่เคยคุยกับพี่วรรณ (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการสร้างและบทภาพยนตร์) ซึ่งเคยบอกไว้ว่า ลำพังแค่ตึกนี้กับปี 2540 มันยังไม่มีสตอรี่ เราเลยนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องเล่าในเว็บพันทิปที่เขียนไว้ครั้งแรกประมาณปี 2556 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นสองคนที่ตั้งใจว่าจะฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่อีกคนหนึ่งผิดสัญญา มันเป็นเรื่องเล่าที่เขียนออกมาได้น่ากลัวมาก ผู้กำกับในค่ายที่ได้อ่านด้วยกันก็ชอบจนเกิดการแชร์ต่อ สุดท้ายเลยบอกให้ทางออฟฟิศซื้อเรื่องไว้ก่อน

     โดยส่วนตัวผมมองว่าความน่าสนใจที่สุดของเรื่องเล่านี้คือ การที่สองคนสัญญาว่าจะฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่คนหนึ่งเกิดกลัว คือเขาไม่ได้อยากจะผิดสัญญาหรอกนะ แต่กลัวที่จะฆ่าตัวตาย แต่ดันมีคนหนึ่งฆ่าตัวตายไปแล้ว ผมว่าลำพังพล็อตแค่นี้ ยังไม่ต้องมีผี แต่คนที่ยังอยู่เขาจะรู้สึกยังไง เขาคงจะรู้สึกผิด ประกอบกับความกลัวอะไรอีกหลายอย่าง… ซึ่งผมว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของหนังที่ดี  

 

 

ในบรรดาองค์ประกอบทั้งหมดของ เพื่อน..ที่ระลึก คุณชอบส่วนไหนมากที่สุด  

     ถ้าให้เลือกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมว่ายากมาก แต่สิ่งที่ผมเชื่อว่าหนังเรื่องอื่นๆ ไม่มีแน่ๆ คือตึกสาธรยูนีค เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยได้รับอนุญาตให้คนเข้าไปอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ฉะนั้นการถ่ายหนังยิ่งไม่ต้องพูดถึง

     คุณต้น-พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ลูกชายอาจารย์รังสรรค์ ซึ่งเป็นเจ้าของตึกในเวลานี้เคยเล่าให้ฟังว่า ตึกนี้มีคนมาขอถ่ายหนังเยอะมาก เพราะทุกคนมองว่าเป็นตึกผีสิง ยิ่งพอผมได้ทำโปรเจกต์นี้ พอไปนั่งเสิร์ชข้อมูลก็เพิ่งรู้ว่ามีคนตายที่ตึกนี้จริงๆ เมื่อตอนปี 2557 ซึ่งที่เขายอมให้เราเข้าไปถ่าย เพราะเขามั่นใจใน GDH  

     เจ้าของตึกเขาเคยดูหนังเรื่อง ลัดดาแลนด์ เขาเลยมั่นใจว่าเราคงไม่เอาตึกของเขามาสร้างตึกผีสิง แต่เชื่อว่ามันคงต้องมีเรื่องราวที่มากกว่านั้น ยิ่งพอจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในหนังมันเกี่ยวข้องกับความล่มสลายของเศรษฐกิจไทยในปี 2540 เขายิ่งรู้สึกโอเค เพราะโดยส่วนตัวเขาอยากให้ตึกนี้เป็นสัญลักษณ์ของปี 2540 อยู่แล้ว เขาอยากให้เวลาทุกคนมองตึกนี้แล้วไม่ลืมว่ามันกลายเป็นตึกร้างเพราะอะไร มันร้างเพราะเกิดจากการทำผิดพลาดของใคร หรือว่ามันเกิดจากการที่เราโลภ เผลอคิดทำอะไรเกินตัว สร้างในสิ่งที่เกินตัว

     “ที่ผ่านมาผมพยายามหลีกเลี่ยงการทำ subject หรือสิ่งที่มันเป็นเรื่องจริง เพราะผมรู้สึกว่าการทำหนังมันสร้างเอาได้ เราไม่ต้องไปถ่ายทำในสถานที่จริงก็ได้ เราไม่อยากไปลบหลู่หรือหยิบเอาเรื่องจริงมาทำมากนัก อย่างเรื่อง ลัดดาแลนด์ สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับหมู่บ้านลัดดาแลนด์มันไม่ได้มีอยู่จริง เพราะความจริงมันคือสวน แต่มันเกิดขึ้นจากการผสมผสาน เล่าต่อกันไปมา จนที่สุดมันกลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้ทุกคนกลัว ผมก็เลยทำ

     เพื่อน..ที่ระลึก ก็เหมือนกัน ผมไม่ได้ตั้งใจว่าอยากจะเอาเรื่องของใครคนหนึ่งมาทำหนัง หรือเอาสถานที่จริงของตึกที่ครั้งหนึ่งเคยมีคนตายอยู่จริงมาทำเป็นหนัง แต่พอถึงเวลาที่ต้องทำงานกับตึกที่เคยมีคนตายจริงๆ ผมก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยเรื่องราวของวิกฤตเศรษฐกิจและด้วยบทภาพยนตร์ ผมรู้สึกว่าไม่ถ่ายที่ตึกนี้ไม่ได้ เพราะด้วยความพิเศษของตึก การที่ตัวละครจะขึ้นไปบนตึกร้างที่ผ่านยุคสมัยมาได้ขนาดนี้ หรือกับการเป็นตึกที่มีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่พิเศษมาก

 

 

ดูผลงานที่ผ่านมา น่าสนใจเหมือนกันนะที่งานหนังของคุณจะมี subject หรือเหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่น โรงภาพยนตร์บ้าง หมู่บ้านจัดสรรบ้าง คราวนี้เป็นตึกร้าง ตกลงเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ

     มันเป็นความบังเอิญแน่ๆ ครับ เพราะเวลาจะทำหนังหนึ่งเรื่อง ผมไม่ได้คิดว่าเดี๋ยวเรามาทำหนังผีเกี่ยวกับโรงหนังกันเถอะ หรือมาทำหนังผีหมู่บ้านจัดสรรกันเถอะ หรือมาทำหนังผีตึกร้างกันเถอะ แต่มันจะมาจากอะไรที่มากกว่านั้น

     อย่าง เพื่อน..ที่ระลึก เราอยากทำเพราะคิดว่าตึกนี้มีความน่าสนใจ เพราะมันผ่านช่วงเวลาของปี 2540 ซึ่งพูดถึงคนที่เคยเจอกับความล้มเหลว รู้สึกผิดหวังจนอยากจะฆ่าตัวตาย นั่นหมายความว่าทุกอย่างมันมาจากสตอรี่ก่อนประมาณหนึ่ง

     ลัดดาแลนด์ ก็เหมือนกัน หนังพูดถึงหมู่บ้านจัดสรรก็จริง ตอนที่เราตั้งเรื่องได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความคิดว่า ‘หมู่บ้านนี้มีผี น่ากลัวดี’ แต่มันเกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนที่คิดจะซื้อบ้าน บ้านคือความฝันของคนในครอบครัว ฉะนั้นมันเป็นอะไรที่เขาต้องทุ่มเททั้งชีวิตเลยนะสำหรับคนที่ไม่ได้รวย

     อีกอย่างช่วงที่ผมเขียนบท ลัดดาแลนด์ อยู่เนี่ย ครอบครัวผมกำลังสร้างบ้านอยู่พอดี คุณพ่อก็รู้สึกว่า กว่าจะสร้างบ้านได้แต่ละหลังมันใช้ทั้งเงินและเวลาในชีวิตเราไปเยอะมาก เรียกว่าทุ่มเงินที่เคยหาเก็บมาได้ทั้งชีวิตไปหมดเลย ฉะนั้นครอบครัวเราจะเครียดมากเวลาเถียงกันว่าจะเลือกบ้านตรงไหน จะทำยังไงบ้างกับบ้านหลังนี้

     วันหนึ่งระหว่างกำลังเขียนบทและสร้างบ้าน ก็มีเหตุการณ์ที่คนงานก่อสร้างพลัดตกลงมาจากรถบรรทุกจนสลบตอนที่กำลังขนของอยู่ที่หน้าบ้าน ตรงนั้นเป็นจุดแรกเลยที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดเขาตายขึ้นมา ต่อให้บ้านเราสร้างเสร็จแล้ว แต่ตอนที่มองออกมาแล้วคิดว่าเคยมีคนตายอยู่หน้าบ้าน โดยที่ยังไม่ต้องเข้าไปตายในบ้านเลยนะ แค่นี้เราก็ลังเลที่จะอยู่แล้ว เพราะเกิดความกลัวขึ้นมา เช่นเดียวกับเรื่องราวใน ลัดดาแลนด์ ถ้าหากว่าบ้านเราปลอดภัยดี ทุกอย่างดีหมด แต่สภาพแวดล้อมรอบบ้านดันมีผี เราจะยังอยู่ต่อไปได้เหรอ

 

วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ล่ะ มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

     ผมว่าในหนังเรื่องนี้ มุมมองเรื่องเศรษฐกิจกับผีมันมีความใกล้เคียงกันตรงที่ว่า มันเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้น และคนส่วนใหญ่เหมือนจะลืมๆ มันไป เราแทบจะไม่ได้สนใจ มองไม่เห็นมันแล้ว แต่ความจริงมันยังมีอยู่ ทุกวันนี้วิกฤตจากเศรษฐกิจมันยังส่งผลเสียกับเราอยู่นะ แต่เรามองกันไม่ค่อยเห็น และคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้

     กระทั่งตอนที่เรารีเสิร์ชข้อมูล มันเป็นเวลาช่วงเดียวกับการครบรอบ 20 ปีของวิกฤตต้มยำกุ้ง เลยมีการจัดนิทรรศการชื่อ ‘ต้มยำกุ้งวิทยา: วิชานี้อย่าเลียน!’ ที่มิวเซียมสยาม แล้วพอได้เห็นข้อมูลต่างๆ ที่เขาจัดแสดงไว้ เราถึงได้รู้ เออว่ะ ประเทศเราในตอนนี้เศรษฐกิจมันเหมือนจะดีขึ้นนะ แต่ความจริงคือเราพัฒนาช้ากว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศมาก ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง แต่ปัญหาเกิดจากเราเคยพลาดมาก่อน ประเทศเราเลยมีหนี้ก้อนใหญ่มากที่ยังไม่ได้จ่าย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วต่อคนไทยหนึ่งคน เรามีหนี้ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันอยู่ประมาณ 14,153 บาท แต่เพราะเราไม่ได้ต้องจ่ายจริงๆ เราเลยมองไม่เห็น คิดว่าก็แล้วไง

     ความจริงประเด็นนี้มันเป็นเรื่องที่ผมสนใจนะ แต่! ผมไม่ได้อยากทำหนังเศรษฐกิจไง ผมอยากทำหนังผี เราก็เลยลดทอนประเด็นนี้ลงไป เหลือไว้เพียงว่า ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ เคยสร้างปัญหาไว้กับครอบครัวของเรา และเราสัญญาว่าจะฆ่าตัวตายไปด้วยกัน จนเกิดการตามทวงแค้น

     ผมถึงบอกว่าความจริงเรามองเศรษฐกิจเป็นเรื่องผีก็ได้นะ เราเคยสร้างปัญหาไว้ เพราะเคยสัญญากับเพื่อนซึ่งกลายเป็นผีไปแล้วว่าจะตายไปด้วยกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับสัญญาที่เราเคยกู้เงิน คือเรามีสิ่งที่ต้องจ่าย มันไม่ได้หมายความว่าพอผ่านวันเวลาไป 20 ปีแล้วเราไม่จำเป็นต้องจ่าย ความจริงคือเรายังต้องถูกทวงอยู่เรื่อยไป…

     พอเราตั้งต้นจากการมีไอเดียว่าจะเล่าอะไร หนังที่ออกมาก็จะต่างกัน อย่าง เพื่อน..ที่ระลึก จุดเริ่มต้นมันมาจากวิกฤตต้มยำกุ้งตอนปี 2540 กับเพื่อนที่สัญญาว่าจะฆ่าตัวตายด้วยกัน ทั้งหมดนี้มันคือความดราม่าสำหรับตัวผมเองนะ นั่นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีรสมือในการทำหนังผีที่เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก

     เราเริ่มต้นคิดหนังจากความดราม่า จากความรู้สึกของตัวละครก่อน แล้วเรื่องของผีค่อยตามมาทีหลัง สำหรับผม หนังเรื่องนี้มันเลยเป็นหนังดราม่าที่มีผี ซึ่งต่างจากที่ผ่านมา ยกตัวอย่าง ลัดดาเแลนด์ จุดเริ่มต้นมาจากความคิดเรื่องหมู่บ้านที่มีผีสิงก่อน แต่สุดท้ายแล้วท่ามกลางผีในหมู่บ้าน คนที่เผชิญหน้ากับมันคือคนในครอบครัว มันเลยมีดราม่าแทรกเข้ามา ฉะนั้น ลัดดาแลนด์ จึงเป็นหนังผีที่มีดราม่า ซึ่งแตกต่างจากหนังเรื่อง เพื่อน..ที่ระลึก ซึ่งเป็นหนังดราม่าที่มีผี พอเราเริ่มต้นอย่างนี้ปุ๊บ ไดเรกชันของผีมันเลยแตกต่างไปจากเดิม

     ผมว่าหนังเรื่องนี้ ความกลัวของคนดูจะใกล้เคียงกับความกลัวในผีจริงมากที่สุด เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะดีไซน์ผีเพื่อที่จะออกมาโผล่ใส่คนดูให้กลัวได้ยังไง แต่เรากำลังพูดถึงบรรยากาศความกลัวที่เรารู้สึกว่ามันมีอยู่จริงนะ ถึงเราไม่เห็นมัน แต่ก็ยังกลัว เพราะรู้ว่ามันมีอยู่จริง ซึ่งพอเรานึกย้อนกลับไป ผมว่าเวลาเราดูหนังผีเนี่ย ความกลัวสูงสุดของเรามันมักจะอยู่ในโมเมนต์ที่เรารู้ว่าตัวละครกำลังเผชิญหน้ากับผี แต่ยังไม่เห็นผี โมเมนต์ตรงนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด เราก็เลยเอาไดเรกชันนี้มาทำใน เพื่อน…ที่ระลึก

     ฉะนั้นถ้าใครคิดว่าจะมาดูหนังเพราะอยากดูมุกผี 1-2-3-4 มีหน้าตาเป็นยังไง ผีมีอยู่กี่ตัว เขาอาจจะไม่กลัว อาจจะรู้สึกว่าทำไมผีน้อยจัง แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเจอมุกผี เขาจะรู้สึกกลัวมากกว่าเดิม เพราะมันเป็นเรื่องของบรรยากาศที่ตามติดเราไปเหมือนกันนะ คือดูจบกลับบ้านไป ถ้าเราเป็นคนกลัวผี บรรยากาศมันก็พร้อมจะมีผีขึ้นมาได้ตลอดเวลา

 

 

ยังจำได้ไหมว่าตอนปี 2540 เกิดอะไรขึ้นกับคนในครอบครัวและชีวิตของคุณในวันนั้นบ้าง  

     ความจริงอายุผมใกล้เคียงกับตัวละครในเรื่องมาก เพราะตอนเกิดเรื่อง นางเอกอายุ 15 ส่วนผมอายุประมาณ 16-17 เรียนมัธยมปลายเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่ได้เป็นลูกเจ้าของกิจการ ครอบครัวก็เลยไม่ได้ล้มหนัก ตอนนั้นเราเป็นเด็กก็จริง แต่จำได้ว่าบรรยากาศช่วงนั้น พ่อผมซึ่งเป็นพนักงานบริษัทก็จะคอยบอกว่าต้องประหยัดแล้วนะ เพราะเขาเห็นว่ามีบริษัทอื่นปิดตัว มีแผนกอื่นปิดตัว แล้ววันหนึ่งบริษัทเขาจะโดนเองบ้างหรือเปล่าไม่รู้ คือถึงเราจะไม่ใช่เจ้าของกิจการ แต่มันก็มีความไม่แน่นอน เพราะถ้าหัวหน้าครอบครัวเจอวิกฤต มันจะส่งผลต่อไปถึงคนในครอบครัวด้วย ซึ่งภาพตรงนี้เป็นอีกจุดที่ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในการเล่าปัญหาของวิกฤตปี 2540 ไปที่ผลกระทบต่อตัวเด็ก ซึ่งต้องเครียดไปด้วย

     ปกติเวลาเล่าเรื่องราวของปี 2540 คนมักจะพูดถึงเจ้าของกิจการ พูดถึงคนรวยที่ล้มละลาย แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่อยู่ลึกไปกว่านั้นคือคนในครอบครัวที่ล้มไปด้วย ชีวิตของทุกคนในบ้านมีผลหมด ซึ่งผมว่ามันน่าสนใจและใหม่กว่า ลงท้ายผมเลยเลือกจับมุมนี้ใส่ลงไปเป็นตัวละครหลักของ เพื่อน..ที่ระลึก

 

พออายุงานมากขึ้น เครดิตงานมากขึ้น คิดว่าเวลาจะทำหนังผีสักเรื่องจำเป็นต้องคิดอะไรให้เยอะขึ้น ท้าทายขึ้นกว่าเดิมไหม

     ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับอายุหรอกครับ แต่ทุกครั้งที่ทำหนังเรื่องใหม่ โดยเฉพาะการทำแนวเดิมที่เราเคยทำ หลายคนจะชอบคิดว่ามันง่าย ก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วนี่ ทำเรื่องต่อมาก็ไม่ยากแล้ว แต่สำหรับผม ผมว่ามันยิ่งยากและท้าทายขึ้นเรื่อยๆ สมมติว่าเราทำหนังผีมา 10 ปี คนดูจะเริ่มเดาทางได้ ซึ่งการเดาทางได้มันทำให้ไม่สนุก

     โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าเวลาทำหนังที่เป็นแนวเดิม มันเลยยิ่งต้องหาอะไรใหม่ๆ มากขึ้น เพราะว่าทันทีที่เราทำให้มันดีเท่าเรื่องที่แล้ว นั่นก็เท่ากับมันแย่กว่าเดิมแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุด มันจะไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกภาพยนตร์ แต่มันใหม่สำหรับเรา เฮ้ย เราไม่เคยทำหนังผีแนวนี้ กลิ่นนี้ หรือสไตล์นี้เว้ย ฉะนั้นมันต้องมีสิ่งใหม่สักอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่ายังสามารถทำมันต่อไปได้โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ เพราะไม่อย่างนั้น อย่าเพิ่งไปนึกถึงคนดูเลย เฉพาะแค่คนทำก็เบื่อแล้ว

 

 

คุณเคยเบื่อการทำหนังผีบ้างไหมครับ หรือไม่ก็มีความคิดว่าน่าจะลองทำหนังแนวอื่นดูบ้าง

     พูดจริงๆ ตั้งแต่เด็กๆ ที่เราชอบดูหนังผี พอเรียนมหาวิทยาลัยเราก็ชอบทำหนังสั้น เป็นหนังสั้นแบบที่ไม่ได้ทำส่งอาจารย์ด้วยนะ แต่ทำกันเองในคณะแบบขำๆ ผมก็เป็นแนวนี้ แล้วพอทำหนังยาวเป็นของตัวเองก็ยังเป็นแนวนี้ แล้วที่ผมทำหนังผีเนี่ย มันก็ไม่ได้เกิดจากการที่สตูดิโอบอกว่าทำหนังผีสิ น่าจะได้เงินนะ ทำหนังผีสิ คนน่าจะชอบนะ

     ผมมองว่าความโชคดีอย่างหนึ่งของผู้กำกับที่ร่วมงานกับ GTH จนวันนี้กลายมาเป็น GDH คือการที่เวลาโปรดิวเซอร์เลือกผู้กำกับมาทำหนัง เขาชวนจากการที่เขามีไอเดียอยู่หนึ่งเรื่อง แล้วโปรดิวเซอร์ก็คิดต่อว่ามันเหมาะกับธรรมชาติ ความชอบ ความสนใจของผู้กำกับคนไหน อย่างผมเป็นคนชอบทำหนังผี เวลามีพล็อตเกี่ยวกับผี เขาก็จะมาชวนผม และถ้าเขามีไอเดียเกี่ยวกับหนังตลก เขาก็จะชวนเมษ (เมษ ธราธร ผู้กำกับหนังโรแมนติกคอเมดี้อย่าง ATM เออรัก..เออเร่อ, บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้), ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ )

     พอเราเริ่มต้นทำหนังจากประเด็นหรือจากแนวหนังที่เราชอบ มันเลยไม่รู้สึกเบื่อ เพราะเราไม่ได้โดนบังคับว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่สิ่งที่เลือกแล้วว่าจะทำมันคือตัวตนที่ทำให้เราสนุกเวลาคิด สนุกเวลาทำมัน

 

ต้องเติบโตมาอย่างไร ถึงจะเป็นผู้กำกับที่มีธรรมชาติด้านการทำหนังผี

     ตอนเด็กๆ ผมไม่ได้เป็นคนเลือกหนังเอง ที่บ้านจะเป็นคนเลือก ซึ่งก็จะได้ดูหนังผีเพราะมันสนุก มันตื่นเต้น ดูแล้วไม่หลับว่างั้นเถอะ เพราะเวลาที่บ้านเปิดหนังดราม่าดูแล้วชอบหลับ เราเลยโตมาในบรรยากาศที่ครอบครัวมานั่งดูหนังผี คลุมโปงดูด้วยกัน กลัวไปด้วยกัน ระหว่างดูมันเลยทั้งสนุก ทั้งกลัว กลายเป็นการปลูกฝังความชอบ แล้วมันก็ทำให้เรากลัวผีมากขึ้นด้วยนะ (หัวเราะ)  

 

ซึ่งตอนดูก็กลัวผีด้วยนะ…

     กลัวครับ ถ้าเป็นการดูตอนกลางคืน แต่ความกลัวมันก็ทำให้เราได้เปรียบคนอื่นด้วยนะ อย่างถ้าผมต้องไปนอนโรงแรมแล้วได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ จินตนาการของผมมันไปก่อนแล้ว พอจินตนาการของเรามันไปไกลกว่าคนอื่นเวลากลัวผี เมื่อมันผ่านวันเวลาไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้มันถูกนำมาใช้เป็นต้นทุนในการคิดงานของตัวเองได้

     มันก็เหมือนกันกับคนที่ชอบดูหนังตลก ธรรมชาติของเขาก็มักจะเป็นคนที่ชอบปล่อยมุก หรือชอบคุยกับคนอื่นด้วยเรื่องเฮฮา อย่างเช่น เมษเป็นคนชอบดูตลกคาเฟ่มาก เขาก็จะมาทางตลก เขาจะมีต้นทุนในชีวิตประจำวันโดยที่ไม่ได้โดนใครบังคับว่าจะต้องคิดมุกตลก เพราะมันเป็นธรรมชาติที่อยู่ในตัวเขา ส่วนผมเอง ผมก็ไม่ได้โดนใครบังคับว่าต้องคิดมุกผีตลอดเวลา แต่สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในธรรมชาติของเรามาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็ก เพราะเราเป็นคนชอบดูหนังผี

 

 

เคยมีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องผีๆ บ้างไหม

     ไม่เคยเจอจังๆ เพราะถ้าเราดูหนังผี เวลาเริ่มมีกลิ่นว่าผีจะมา ตัวละครมักจะเดินเข้าหาผี แต่ในชีวิตจริงเราจะทำตรงกันข้าม นั่นคือทันทีที่รู้ว่ามันกำลังมา เราจะหนีก่อน เช่น เห็นอะไรแวบๆ ทางหางตา ผมจะไม่หันไปดู หรือได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากอีกห้องหนึ่ง เราก็จะไม่เดินไปดู คือเลือกที่จะหนี เราจะไปเจอมันทำไมล่ะ (หัวเราะ)

 

ถามผู้กำกับผู้โดดเด่นและเชี่ยวชาญด้านผี ตกลงบรรยากาศแบบไหนที่ทำให้คนกลัวผีได้บ้าง

     ผมว่าสุดท้ายแล้วคนเรากลัวทุกอย่างที่ไม่รู้ ที่คนเรากลัวที่มืด บางทีมันไม่ใช่การคิดว่าจะมีผีอยู่ในที่มืดหรือเปล่า แต่เราไม่รู้ว่าในที่มืดนั้นมีอะไร สมมติว่าในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน ลองเปิดไฟให้สว่างสิ เราไม่กลัวแน่นอน แต่พอนั่งอยู่ที่เดิมแล้วปิดไฟทั้งหมด เราจะเริ่มกลัว เพราะไม่รู้ว่ามันมีอะไรอยู่รอบตัวเราบ้าง

     เช่นเดียวกันกับการเดินเข้าไปในถ้ำครั้งแรก เราจะกลัวมากๆ เพราะไม่รู้ว่าในถ้ำจะมีอะไรบ้าง แต่ลองเข้าไปในถ้ำเดิม ในแสงมืดเท่าเดิมเลยนะ แต่เป็นรอบที่สองหรือสาม ความกลัวจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ นั่นเพราะเรารู้แล้วว่าในถ้ำมีอะไรบ้าง   

     ผมว่าความกลัวมันเป็นเรื่องจิตวิทยาหรือจิตใต้สำนึกของคนว่าเราจะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ ยกตัวอย่างใกล้ตัวกว่านั้นก็ได้ สังเกตง่ายๆ เวลาเราเข้าค่ายลูกเสือ มีปี๊บหนึ่งใบที่ ข้างในใส่ลอดช่องเอาไว้ แต่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วพอครูฝึกบอกให้เราเอามือล้วงเข้าไปปุ๊บ มือคลำไปเจออะไรหยุ่นๆ สมองมันทำงาน จินตนาการไปมากกว่าสิ่งที่เราสัมผัสจริง จากลอดช่องก็กลายเป็นหนอน ฉะนั้นความกลัวคือทำยังไงก็ได้ให้คนดูจินตนาการไปมากกว่าสิ่งที่เห็น

 

 

นอกจากไอเดียดี พล็อตดี กิมมิกดี บทแข็งแรง นักแสดงมีส่วนสำคัญด้วยไหม

     นักแสดงมีส่วนอยู่แล้วครับ คือต่อให้เราคิดบทมาดีแค่ไหน แต่การสื่อสารกับคนดูไม่ใช่ผมไปเล่าด้วยปาก แต่ผมต้องเล่าผ่านนักแสดง ฉะนั้นมันเลยมีคำที่บอกกันว่า ถ้าซีนไหนนักแสดงเล่นแล้วความกลัวไม่ถึง คนดูก็จะไม่กลัว เพราะคนดูกลัวตามสิ่งที่เห็น ซึ่งหมายถึงอารมณ์ของนักแสดงนี่เอง และทันทีที่ตัวละครกลัวถึงจุดที่คนดูเชื่อว่านี่คือความกลัวจริงๆ ต้องไม่ใช่กลัวแบบเฟกๆ ด้วยนะ คนดูจะกลัวตาม ฉะนั้นในการทำหนัง ถ้าเราได้นักแสดงที่ใช่ ก็เหมือนว่าหนังมันสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว  

     อย่างบี (น้ําทิพย์ จงรัชตวิบูลย์) ในเรื่อง เพื่อน..ที่ระลึก เนี่ย เราคิดถึงเขามาตั้งแต่ตอนเริ่มเขียนบทเลยนะ แล้วเราก็ล็อกคาแรกเตอร์เขาไว้เลย ลิลลี่เองก็เหมือนกัน (อภิชญา ทองคำ) ตอนดูรายการ The Face Thailand เราเห็นลิลลี่บ่อยมากนะ แต่ไม่เคยนึกถึงเลย เพราะเรารู้สึกว่าตัวละครเป็นลูกที่ต้องถูกผีคุกคาม เราเลยนึกถึงภาพเด็กไร้เดียงสา บอบบาง ดูปกป้องตัวเองไม่ได้ พอนึกถึงภาพแบบนั้น เราเลยแคสต์นักแสดงมาทางนั้น ซึ่งแคสต์กันนานมาก ที่ผ่านมามันมีคนที่เล่นดีมากๆ แอ็กติ้งดีมากเข้ามาแคสต์หลายคนมากนะ แต่เราไม่เลือก เพราะไม่เชื่อว่าเขาเป็นเด็กอายุ 15 หรือพอทดลองเอาเด็กอายุ 15 หรือใกล้เคียงมาจริงๆ บางทีคาแรกเตอร์ก็ไม่ได้ หรือการแสดงยังไม่ถึง

     จนกระทั่งวันหนึ่งคนเขียนบทร่วมกับผมอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาชอบดูรายการ The Face Thailand ก็พูดขึ้นมาว่า ถ้างั้นลองลิลลี่ดูไหมล่ะ เพราะเขาอายุ 15 เท่ากับตัวละครพอดี ซึ่งพอลิลลี่มาเล่น การแสดงของเขาอาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เพราะเขาไม่ได้ผ่านงานมาเยอะ แต่ธรรมชาติของเขามันเด็กมาก

     ถ้าดูจากในรายการหรือเวลาถ่ายแบบที่ต้องโพสท่า ต้องจิกกล้อง เราจะรู้สึกว่าลิลลี่ดูโตมากเลยว่ะ แต่พอคุยกับเขาจริงๆ เราจะพบว่าเขาเป็นเด็กมากเลย เขาเหมือนเด็กในร่างผู้ใหญ่ เวลาอยู่ในกองเขาก็จะชอบพูดตลกหรือทำอะไรขำๆ ซึ่งต้องเป็นเด็กเท่านั้นแหละถึงจะทำอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) บวกกับที่พอเขามาอยู่กับบี กลายเป็นว่าเคมีเขาเข้ากัน

     มีหลายคนนะที่คิดว่าผมเอาบีกับลิลลี่มาเล่นเพราะรายการ The Face Thailand หรือเปล่า เป็นเด็กเส้นหรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือเรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นทีหลัง และไม่พร้อมกัน เพราะตอนที่เราดีลกับบีจนได้มาเล่น เขาก็ไม่รู้นะว่าใครจะได้เล่นเป็นลูก จนกระทั่งถึงวันที่เขารู้ว่าเป็นคนนี้ บีเขาก็ดีใจมาก

     ล่าสุดพี่เก้งพูดตอนที่ดูคัตติ้งในห้องตัดต่อว่า ผมนึกไม่ออกเหมือนกันนะว่าถ้าไม่ใช่บีกับลิลลี่แล้วจะเป็นใครวะ เพราะพูดกันตามจริง สุดท้ายแล้วนักแสดงเก่งๆ ในเมืองไทยมีเยอะ แต่คนที่เล่นเก่งๆ มีความเป็นธรรมชาติ และมีเคมีที่เข้ากับหนังเรื่องนั้นๆ มันหายากมาก แต่อย่างบี บังเอิญว่ามองเราคนนี้ เจอคนนี้ ล็อกคนนี้ ได้คนนี้มาเล่นแล้วมันออกมาใช่เลย แต่มันมีบางเรื่องนะครับที่เราแคสติ้งนักแสดงกันจนจะถ่ายทำอยู่แล้วยังหาคนที่ใช่ไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องแล้วแต่ดวง แล้วแต่เวรแต่กรรมของผู้กำกับจริงๆ (หัวเราะ) หรือแม้กระทั่งกับตึกสาธรยูนีค ตอนที่เขียนบท เราเห็นภาพเขาวิ่งขึ้น-ลงจากตึกนี้เลยนะ ซึ่งถ้าถึงเวลาต้องถ่ายทำ เราไปขออนุญาตแล้วเขาไม่ให้ใช้ตึกนี้ขึ้นมา มันก็คงต้องถือว่าเป็นความโชคร้ายของการทำงาน

     ความจริงปกติการหาโลเคชันของหนังผีก็ยากมากอยู่แล้ว เพราะทันทีที่เราไปขออนุญาตถ่ายหนัง สมมติว่าเป็นที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง พอให้ถ่ายปุ๊บ เขาจะถามต่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ขอดูเรื่องย่อหน่อย พอรู้ว่าเป็นหนังผี กลายเป็นว่าถูกปฏิเสธไปประมาณ 80%

     ตอนทำ โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต ก็เหมือนกัน ถ้าในวันนั้นไม่มี คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ (ผู้บริหาร T Moment และอดีตผู้บริหาร GTH) ที่เป็นคนไปลองคุยกับทาง ‘เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์’ คงไม่มีโรงหนังที่ไหนให้ผมถ่ายเหมือนกันนะ แต่อย่างที่บอกว่าการทำหนัง บางอย่างมันก็ต้องใช้ดวงในการทำให้มันเป็นหนังที่สมบูรณ์เรื่องหนึ่งขึ้นมาให้ได้

 

ตั้งแต่เห็นภาพโปรโมตที่บอกว่า ‘ตึกนี้เป็นหนึ่งในตัวแสดงนำ’ แค่นั้นก็รู้แล้วว่าตึกสาธรยูนีคมีความสำคัญกับเรื่องมาก สมมติถ้าก่อนถ่ายทำไปติดต่อแล้วเจ้าของไม่อนุญาต คุณมีแผนสำรองเตรียมไว้บ้างไหม

     ตอนแรกไม่คิดว่าเขาจะยอมให้ใช้ด้วย แต่เพราะเราดื้อในการที่จะใช้ตึกนี้ แล้วลองเสี่ยงเข้าไปคุยดู เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหนังเรื่องนี้คือตึกนี้ และอยากจะถ่ายที่ตึกนี้ ผมก็เลยไม่เคยคิดถึงแผนสองเลย

 

 

คิดว่าตึกสาธรยูนีคน่ากลัวอย่างที่เขาบอกๆ กันไหม

     พูดจริงๆ เลยครับว่าน่ากลัวมาก! ความจริงตึกร้างน่ากลัวทุกที่อยู่แล้วครับ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือความอันตราย สิ่งที่เจ้าของตึกเขาย้ำกับผมมากเลย เขาบอกว่าผมให้คุณถ่ายได้ เพราะผมเชื่อใน GDH เชื่อในคุณว่าจะเล่าเรื่องนี้ออกมาได้ดี แต่ขอให้ช่วยพูดหน่อยเถอะว่าอย่าให้คนมาที่ตึกนี้เลย เพราะมันอันตราย

     เขาไม่อยากให้ใครเข้ามาจนบางทีเขาต้องยอมฟ้องคนในอินเทอร์เน็ตเพื่อให้เป็นเคสตัวอย่างด้วยซ้ำไป เพราะทุกวันตั้งแต่ช่วงดูโลเคชันจนถึงวันถ่ายทำจะมีคนเดินมาขอขึ้นตึก พวกฝรั่งนี่เดินเข้ามาทุกวันเลยนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของตึกเขาไม่อยากให้มีเลย เพราะมันอันตรายมาก เพราะถึงตึกนี้จะมีบันไดเหมือนตึกอื่นๆ แต่ตรงช่วงพักของบันได เลยไปอีกนิดมันจะมีช่องกว้างประมาณหนึ่งเมตร ที่ถ้าตกลงไปจากชั้น 47 มันจะลงไปชั้นหนึ่งได้เลย มีช่องประมาณนี้อยู่เยอะมาก และมักจะอยู่ตรงจุดที่คาดไม่ถึง

     สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกกลัวและกังวลกว่าเรื่องผีเยอะมาก ในช่วงที่เรายกกองไปถ่ายทำที่นั่น ซึ่งต้องชมทีมจัดการกับโปรดิวเซอร์เลยนะครับ เพราะเขามีระบบการจัดการที่ดีมาก คือมีกฎในการถ่ายทำเป็นสิบๆ ข้อเลย เช่น ห้ามวิ่ง ห้ามเดินคนเดียว ห้ามออกนอกเส้นทางที่ทีมงานเคลียร์ไว้ ฯลฯ เพราะถ้าไม่ใช่เส้นทางที่เคลียร์ไว้เนี่ย ตึกจะมีทั้งหลุม ทั้งเศษแก้ว ทั้งตะปู ทั้งช่องที่ตกลงไปข้างล่างได้ ฉะนั้นเรากั้นพื้นที่จริงจังว่าจะถ่ายแค่นี้และตรงนี้ ใช้พื้นที่ให้น้อยและเซฟตี้ที่สุด  

 

 

วิวชั้นไหนบนตึกสาธรยูนีคที่สวยที่สุด

     ผมว่าชั้น 47 ที่เราถ่ายทำนี่แหละคือจุดที่สวยที่สุด มันคือจุดที่ตัวละครยิงตัวตาย ตรงนั้นจะมีแค่เสา แล้วหลุดออกไปจากตรงนั้นก็ตกได้เลย ด้วยความที่โครงสร้างของมันไม่เหมือนชั้นอื่นๆ เลย คือชั้นล่างๆ จะเหมือนคอนโดฯ ทั่วไปที่กั้นเป็นห้องๆ ล็อกๆ แต่พอสูงขึ้นไปตั้งแต่ชั้นประมาณ 42 มันจะกลายเป็นห้องสูทที่โครงสร้างด้านหน้าถูกออกแบบให้ไม่เหมือนชั้นอื่น เพื่อให้ได้เห็นวิวที่เปิดกว้างมากกว่า ซึ่งเป็นด้านที่หันไปทางโค้งน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี มันเลยเป็นชั้นที่สวยที่สุด ทั้งที่ตอนแรกเราอยากจะถ่ายทำในชั้นที่ต่ำที่สุดนะ เพราะมันทำงานยากมากเลย แต่พอขึ้นไปดูโลเคชันสัก 2 รอบ ทุกคนคุยกันว่าคงต้องยอมขึ้นไปอีกเกือบสิบชั้นเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้

 

สวยที่สุดไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นชั้นไหนน่ากลัวที่สุด

     ชั้นที่เกิดเหตุครับ (พบศพชายต่างชาติผูกคอตายในปี 2557) จากที่ติดตามข่าวรู้สึกจะเป็นชั้น 43 นะครับ มันก็เลยเป็นชั้นที่เราเว้นไว้ตั้งแต่ช่วงบล็อกช็อตการถ่ายทำเลยว่าจะไม่ใช้ถ่าย คือเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆ สุดท้ายแล้วผมว่าทั้งทีมงานและนักแสดงทุกคนรู้แหละว่าเกิดเหตุที่ชั้นไหน แล้วถ้าเราดื้อที่จะถ่ายชั้นนั้น ต่อให้มันไม่มีอะไรจริงๆ ต่อให้เราไม่กลัว แต่ทีมงานกลัว มันก็ทำงานได้ไม่เวิร์ก แล้วเราจะทำงานอยู่ท่ามกลางความกลัวไปทำไม ฉะนั้นเพื่อความสบายใจก็เลี่ยงที่จะใช้ชั้นนั้นไปเลยดีกว่า แค่เดินผ่านอย่างเดียวพอแล้ว   

FYI
  • ตัวอย่างภาพยนตร์ เพื่อน..ที่ระลึก (The Promise) 

 

  • เดียวดายกลางสายลม (Cover Version) เพลงประกอบภาพยนตร์ เพื่อน..ที่ระลึก โดย บี น้ำทิพย์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X