×

ถอดบทเรียนโลกการทำงานจาก The Face Men Thailand Ep.5 (26 ส.ค. 2560)

27.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • บางทีเราอาจจะต้องกลับมาสำรวจตัวเองว่า โอกาสที่เรามีในมือตอนนี้ เราได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าหรือยัง และเราเคยไฟต์แค่ไหนเพื่อที่จะให้ได้งานนี้มา
  • ความลำบากคือต้นทุนชีวิตที่ดีมากอย่างหนึ่ง เพราะคนที่รู้รสชาติความลำบากจะมีภูมิต้านทานชีวิต เขาจะไม่ประมาทกับความสบาย เขาจะมีแรงผลักดันที่จะต่อสู้
  • คนเรามีสิทธิ์ที่จะอ่อนแอ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ การร้องไห้ การปล่อยตัวเองให้ฟูมฟายไม่ใช่เรื่องผิด มันเป็นกลไกปกติที่เราควรปล่อยให้ความรู้สึกทำงาน

*คำเตือน บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหารายการ

 

     เข้าสู่ Ep.5 กันแล้วกับการแข่งขัน The Face Men Thailand มาสัปดาห์นี้เมนเทอร์ทั้งสามดูเฮฮากิ๊วก๊าวกวนทีนกันไปมาเหมือนเป็นคนละคนกับสัปดาห์ที่แล้วที่บรรยากาศมาคุ ทั้งเมนเทอร์พีชที่แม้จะแพ้อีกรอบแต่ก็ยังดูเฮฮา ปราศจากดราม่าใดๆ และแขวะเมนเทอร์หมูไว้ตลกมากว่า เมนเทอร์หมูเหมือนใส่ชุดนอน (ซึ่ง…เออจริงว่ะ) และกัดเมนเทอร์ลูกเกดว่า ‘ระวังไหมหลุด’ ด้านเมนเทอร์ลูกเกดก็ยังคงจริงจังกับการแข่งขัน แต่กิ๊วก๊าวกับการดูผู้ชายถอดเสื้อเป็นพิเศษ ส่วนเมนเทอร์หมูสัปดาห์นี้ก็ ‘ดีด’ เหลือเกิน และยังคงสรรหาคำมากรีดทีมอื่นๆ ได้เสมอ โดยเฉพาะที่เรียนกันย์ว่า ‘ผีตู้’ และที่สำคัญ ยังมีบทเรียนโลกการทำงานให้เราเรียนรู้กันเช่นเคย ไม่ว่าคุณจะเป็น #ทีมพีช #ทีมหมู #ทีมลูกเกด ก็สามารถเรียนรู้โลกการทำงานด้วยกันได้หมด
     สัปดาห์นี้มีอะไรให้เรียนรู้กันบ้าง มากันเลย!

Photo: The Face Thailand/facebook

 

เราเคยไฟต์แค่ไหนเพื่อให้ได้งานนี้มา

​     พีเคบอกเมนเทอร์หมูว่า เขาไม่ซีเรียสว่าตัวเองต้องชนะ มาที่นี่ก็เหมือนได้เรียนรู้ จนเมนเทอร์หมูบอกว่า “คุณคิดแบบนั้นไม่ได้นะครับ ถ้ามาก็ต้องชนะ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองจะไม่ชนะตั้งแต่แรก พี่เอาคุณออกตั้งแต่วันนี้เลยครับ”

     ถ้าจุดมุ่งหมายของการไฟต์ในห้องดำคือการวัดว่าใครจะไฟต์เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้มากกว่ากัน การที่พีเคบอกว่า เขาไม่ซีเรียสว่าตัวเองต้องชนะ ในทางหนึ่งมันคือการยอมยกธงขาวตั้งแต่แรกแล้ว เพราะมันมีคนอื่นๆ ที่อยากชนะ คนอื่นๆ ที่พร้อมจะสู้ให้สุดหัวใจ คนที่มีความฝันและพร้อมจะตายไปกับมัน แต่คนเหล่านั้นอาจจะไม่ได้รับสิทธิ์แม้แต่จะได้เข้ามาแข่งขัน และได้แต่มองดูคนที่มีโอกาสอยู่ด้วยความรู้สึกว่า “ถ้าเราได้ไปอยู่ตรงนั้นนะ…”

     แต่พีเคได้โอกาสมาเข้าแข่งขันและกำลังบอกว่า ไม่ได้กะจะมาจริงจังอะไรกับการแข่งขัน ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะชนะ

     ในโลกการทำงานก็เหมือนกันครับ มีคนที่อยากได้งานที่เราทำอยู่ อาจจะมีคนที่เก่งกว่าเราด้วยซ้ำแต่ไม่ได้มีโอกาสเหมือนเรา แต่เราอาจจะหลงลืมไปว่า โอกาสที่เรามีในมืออยู่นี้มันมีคุณค่าแค่ไหนสำหรับคนอื่น หรืออาจจะลืมไปว่าเราเคยไฟต์แค่ไหนกว่าจะได้งานนี้มา และเราก็ไม่ได้จริงจังกับมัน ปล่อยให้มันเป็นแค่โอกาสที่ไม่มีคุณค่า

     บางทีเราอาจจะต้องกลับมาสำรวจตัวเองว่า โอกาสที่เรามีในมือตอนนี้ เราได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าหรือยัง และเราเคยไฟต์แค่ไหนเพื่อที่ให้ได้งานนี้มา

     มุมหนึ่งเป็นไปได้ว่า พีเคอาจจะเห็นว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เก่งกว่า เลยทำให้คิดว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ชนะ แต่พอคิดว่าตัวเองคงไม่ชนะหรอก เราก็จะปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ เราจะไม่พยายาม หรือต่อให้พยายามเราก็จะไม่ได้พยายามเพื่อให้เราไปถึงที่สุด เพราะเราไม่เคยมีภาพในหัวว่าเราจะชนะ ไฟของความทะเยอทะยานก็จะไม่มี

     มันมีเส้นบางๆ อยู่ระหว่างความประมาณตนกับความทะเยอทะยาน ความประมาณตนคือการรู้ข้อจำกัดของตัวเอง รู้สถานะของตัวเองว่าเราไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด มันเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี แต่อีกทางหนึ่ง มันทำให้เรามีเพดานบินของตัวเองที่จำกัดไว้ตั้งแต่ต้น ให้ตายยังไงเราก็ได้เท่านี้ล่ะว้า ที่สุดแล้วเราก็จะขาดความพยายาม

     ส่วนความทะเยอทะยานคือ เราไม่สนเลยว่าคนอื่นจะเก่งกว่าเราแค่ไหน หรือเราจะด้อยกว่าคนอื่นอย่างไร เป้าหมายเดียวของเราอยู่ตรงนั้น แล้วอะไรบ้างล่ะที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ เราจะทำหมด จะไปถึงเป้าหมายได้ต้องเก่งขึ้นใช่ไหม โอเค เราต้องพยายามขึ้น เราต้องไปเติมเรื่องนั้นเรื่องนี้

     รักษาความทะเยอทะยานเอาไว้ ไม่ลืมว่าเราเคยไฟต์แค่ไหนเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา

 

Photo: The Face Thailand/facebook

 

กันดารคือสินทรัพย์
     ​กันย์บอกว่าตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัด และไม่ใช่ลูกครึ่ง จะไปสู้อะไรกับคนอื่นได้

     ในโลกแห่งความจริง มนุษย์แต่ละคนมีภูมิหลังในชีวิตที่ต่างกันที่ทำให้มีโอกาสต่างกัน แน่นอน ในสนามแข่งขันทางหน้าที่การงาน เราจะเจอคนที่มีต้นทุนชีวิตบางอย่างที่เอื้อต่อการมีความสามารถบางเรื่อง เช่น สื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเพราะเรียนโรงเรียนนานาชาติ ทำให้มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา มีหน้าตาดี ทำให้เป็นที่สนใจของคนอื่นได้ง่ายกว่า เรียนจบต่างประเทศ ทำให้มีประวัติการศึกษาที่น่าดึงดูดกว่า ฯลฯ

​     สังเกตไหมครับว่า เวลาเราบอกว่าคนอื่นมีโอกาสมากกว่าเรา เรามักจะมองแค่เปลือกนอกของเขา เช่น ฐานะของเขา ชาติกำเนิดของเขา ฯลฯ และก็คิดไปเองว่าถ้าเราไม่ได้มีต้นทุนชีวิตอย่างเขา เราจะเอาอะไรไปสู้

     ถ้าเรามัวแต่คิดว่า โหย…เรามันไม่มีอย่างเขา เราจะไปสู้อะไรคนอื่นได้ มันจะเป็นทัศนคติที่ไม่ทำให้เราพัฒนาตัวเอง และกดตัวเองไว้ว่ายังไงเราก็สู้คนอื่นไม่ได้หรอก คนอื่นดีกว่าเราตั้งเยอะ พยายามไปก็ไม่มีความหมาย

     คือยังไม่ทันออกสตาร์ท เราก็คิดว่าตัวเองแพ้แล้ว แพ้โดยที่เราเลือกจะไม่สู้เองด้วยซ้ำ

     สิ่งที่อยากจะบอกคือ ความลำบากคือต้นทุนชีวิตที่ดีมากอย่างหนึ่ง เพราะคนที่รู้รสชาติความลำบากจะมีภูมิต้านทานชีวิต เขาจะไม่ประมาทกับความสบาย เขาจะมีแรงผลักดันที่จะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งชีวิตที่อยากมีมากกว่าคนที่แทบจะไม่กระหายอะไรเลย เขาจะรู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เขาจะเคยถูกปฏิเสธมามากจนรู้ซึ้งถึงคุณค่าของโอกาส

     ความลำบากทำให้เราเป็นนักสู้ และเราควรจะเห็นคุณค่าของมัน ภูมิใจในตัวตนของเรา มากกว่าจะเอามันเป็นข้ออ้างที่ทำให้เราไม่อยากจะพยายาม

     ต่อให้เราอยู่บนจุดสตาร์ทที่ไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไปถึงเส้นชัยไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือ เราต้องพยายามมากขึ้น เรียนรู้ให้มากขึ้น ฝึกฝนมากขึ้นกว่าคนอื่น พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด

     แล้ววันหนึ่ง เราจะนึกขอบคุณที่เกิดมาเจอความลำบาก ​

 

Photo: The Face Thailand/facebook

 

แต่ละคนรับมือกับความเสียใจได้แตกต่างกัน
     ​หลังจากโดนคัดออก กันย์ร้องห่มร้องไห้และบอกว่าพอแล้วกับเส้นทางนี้ กลับบ้านไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายดีกว่า แล้วก็ฉีกรูปเป็นชิ้นๆ

     บางคนเห็นกันย์ทำแบบนี้แล้วอาจจะรู้สึกว่า ทำไมเสียใจแล้วต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้น ทำไมมายอมแพ้แค่นี้ ทำไมมาฉีกรูปร้องไห้เป็นเด็กๆ ไปได้ ทำไม ทำไม และทำไม

     แต่ละคนรับมือกับความเสียใจได้แตกต่างกัน บางคนเสียใจแป๊บเดียวก็หาย บางคนใช้เวลานานกว่าจะเงยหน้าขึ้นมาใหม่ได้ บางคนล้มแล้วลุกทีทะยานไปไกลกว่าเดิม และบางคนเสียใจแล้วล้มไม่ฟื้นเลยก็มี นั่นก็เป็นเพราะแต่ละคนมีวุฒิภาวะและมีภูมิต้านทานในจิตใจที่ต่างกัน

     ​เวลาที่เรามองคนอื่นแล้วบอกว่า “โหย…เรื่องแค่นี้เอง” เราไปตัดสินแทนเขาไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่เขา มันอาจจะเป็นเรื่องแค่นี้ของเรา แต่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขา ณ สถานการณ์นั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเจออะไรมาบ้าง หรืออะไรหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ แบบนั้น การตัดสินเขาไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้น และไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

     ไปบอกคนที่กำลังอ่อนแอว่า เฮ้ย! ต้องเข้มแข็งสิ ต้องสู้สิ ในเวลาที่เขายังไม่พร้อม อาจจะยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอกว่าเดิม

     สิ่ง​ที่เราทำได้คือเป็นกำลังใจให้เขา อดทนที่จะไม่ตัดสินเขาเพียงเพราะความเข้มแข็งในจิตใจเราไม่เท่ากัน ที่เหลือคือต้องให้เขาเรียนรู้ที่จะลุกด้วยตัวเอง และเมื่อเขาพร้อมแล้ว เขาจะคิดได้เองว่ามันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต

 

Photo: @TheFaceThailand/twitter

 

     อะไรที่เราเจ็บแล้วเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ มันจะเป็นบทเรียนที่เราไม่มีวันลืม แบบเดียวกับที่ตอนหลังกันย์บอกว่า “แค่นี้ไม่ทำให้ผมตายหรอก”

     สัปดาห์หน้าจะมีอะไรให้มนุษย์ทำงานอย่างพวกเราเรียนรู้จาก The Face Men Thailand กันอีก เดี๋ยวมาเรียนด้วยกัน!

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X