×

The TOYS พูดจากันแบบไม่งง กับศิลปินที่มีคนรักและข้องใจกับ ‘ตัวตน’ มากที่สุดในเวลานี้

13.12.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • ธันวา บุญสูงเนิน หรือ The TOYS คือตัวอย่างของศิลปินเพลงยุคใหม่ที่ใช้ความสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนความสำเร็จ (โอเค หน้าตาดีด้วย) ขณะเดียวกันในแง่บุคลิกส่วนตัว เขาก็มีปัญหาในด้านการสื่อสารกับสังคมพอสมควร เนื่องจากเป็นคน ‘พูดต่อหน้าสาธารณชนไม่เก่ง’ และจุดนี้เองที่ดูเหมือนว่ามันจะค่อยๆ สร้างปัญหาจนเกิดความสับสนด้าน ‘ตัวตน’ ของเขาในหมู่แฟนเพลงจำนวนหนึ่งอยู่ในเวลานี้
  • พอเจอปัญหาเกิดขึ้นบ่อยๆ เนื่องจากหลังๆ เขาได้รับรางวัลบ่อยขึ้นเรื่อยๆ What the Duck ค่ายเพลงต้นสังกัดจึงส่งทอยให้ไปเข้าคอร์ส ‘ทักษะการพูดคุยและการสื่อสารขั้นพื้นฐาน’ แต่จนถึงทุกวันนี้ทอยก็ยังเรียนคอร์สนั้นไม่จบ และไม่ได้เจอครูผู้สอนอีกเลย
  • “สำหรับคนอื่นมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากจริงๆ ครับ แต่ผมเชื่อว่ามันจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคล้ายๆ ผมที่มีสังคมค่อนข้างส่วนตัว ไม่ค่อยอยากเจอใคร ซึ่งแค่การพูดธรรมดาก็เป็นเรื่องไม่พื้นฐานแล้วสำหรับพวกเรา” ศิลปินเจ้าของรางวัล Best New Asian Artist Thailand จากเวที 2018 Mnet Asian Music Awards (MAMA) ประเทศเกาหลีใต้ และเจ้าของท่า ‘มินิฮาร์ต’ อันโด่งดัง เผยถึงเบื้องลึกในตัวตนไว้กับ THE STANDARD POP

จากรางวัลมากมายที่ได้รับ อัลบั้มเต็ม SUN ที่มีแต่คำวิจารณ์ในแง่บวก ยอดวิวในยูทูบที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการเล่นกีตาร์ที่ไม่เคยซ้ำแบบในทุกๆ คอนเสิร์ตที่ขึ้นไปเล่น ทำให้ไม่มีใครสงสัยในตัวของศิลปินที่ชื่อ ธันวา บุญสูงเนิน หรือ The TOYS ได้ง่ายๆ

 

แต่อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ มีแฟนคลับมากมายที่ชื่นชอบทั้งผลงาน หน้าตา สไตล์การแต่งตัว ไปจนถึงความตลกปนความมึนงงในทุกๆ ครั้งที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ แต่ในขณะเดียวกันก็มีกระแสสังคมอีกจำนวนไม่น้อย ที่กำลังตั้งข้อสงสัยใน ‘ตัวตน’ แท้จริงที่เขากำลังเป็นอยู่

 

THE STANDARD POP มีโอกาสนั่งพูดคุยกับ The TOYS เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าเขาดูจะมีสกิลการตอบคำถามที่พัฒนามากขึ้น แต่ทอยก็ยังเป็นทอยแบบที่เรารู้จัก บางคำถามเขาต้องหลับตานิ่งคิดอยู่นาน บางคำถามเขาก็ตอบสั้นจนน่าใจหาย บางคำตอบก็ทำให้เราประทับใจกับมุมมองที่มีต่อโลกอย่างไม่เหมือนใคร และบางคำตอบก็สุดแสนจะธรรมดาและน่าหมั่นไส้

 

บอกตรงๆ เราไม่แน่ใจว่าคนอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะยืนอยู่ฝั่งไหนของความรู้สึกที่มีต่อ The TOYS แต่อย่างน้อยที่สุด อยากให้ลองเปิดใจฟังความคิดลึกๆ ของเขา และมองเขาในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอะไรน่าค้นหามากกว่าท่า ‘มินิฮาร์ต’ ที่กำลังเป็นกระแสข่าว จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าคุณจะรักเขามากขึ้น หรือจะตั้งแง่โจมตีเขาแบบนี้ต่อไป

 

สำหรับคนอื่นมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากจริงๆ ครับ แต่ผมเชื่อว่ามันจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคล้ายๆ ผม ที่มีสังคมค่อนข้างส่วนตัว ไม่ค่อยอยากเจอใคร ซึ่งแค่การพูดธรรมดาก็เป็นเรื่องไม่พื้นฐานแล้วสำหรับพวกเรา

 

ไปฝึกพิเศษอะไรมาหรือเปล่า เห็นว่าช่วงหลังๆ ทอยเริ่มตอบคำถามเวลาสัมภาษณ์สื่อดีขึ้นกว่าเดิมมาก

ผมคิดว่าเหมือนเดิมนะครับ แต่คงเพราะได้ไปสื่อต่างๆ มีคนถามคำถามมากขึ้น แล้วคงมีหลายๆ เรื่องอย่างเรื่องคำวิจารณ์ เรื่องแฟนคลับ ที่พอถูกถามมากๆ เข้า ผมเริ่มเข้าใจเริ่มปรับตัวได้ เลยเห็นว่าผมตอบคำถามได้เยอะกว่าเมื่อก่อน  

 

แต่ทุกวันนี้ถ้ายังเจอบางคำถาม เช่น เรื่องทางสังคมหรือเรื่องที่ผมไม่เคยคิดกับตัวเองมาก่อน ที่ผมไม่ถนัด แล้วทำให้คิดว่าจะพูดออกไปดีไหม เลยพยายามหาคำตอบที่ออกมากลางๆ อาจจะไม่ต้องถูกก็ได้ แต่อย่างน้อยขอให้ไม่ผิดก็เลยใช้เวลานาน

 

เคยคิดว่าเรื่องการพูด การตอบคำถาม เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนบ้างไหม

เคยครับ เพราะมีหลายคนไม่เข้าใจผม งงว่าทำไมบางครั้งผมพูดได้ บางครั้งก็พูดไม่ได้ สุดท้ายมันอยู่ที่เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่เท่านั้นเอง สมมติถ้าชวนผมคุยเรื่องเครื่องดนตรี การเลือกใช้เทคนิคในการทำเพลง ผมคิดว่าผมตอบได้ กลับกันถ้าไปคุยเรื่องนี้กับคนที่ไม่ถนัด ต่อให้เขาเป็นคนพูดเก่งที่สุด แต่เขาก็อาจจะตอบคำถามแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน

 

พอเจอปัญหาเยอะขึ้น ทางค่าย What the Duck ก็ให้ผมไปเรียนกับครูซอ (สทาศัย พงษ์หิรัญ) ซึ่งในค่ายมีแค่ผมกับโบกี้ไลอ้อน (พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ) ที่ต้องมาเรียน (หัวเราะ) เป็นคอร์สสอนทักษะการพูดคุย การสื่อสารขั้นพื้นฐานเลย แต่จนทุกวันนี้พวกเราก็ยังเรียนคอร์สนั้นไม่จบและไม่ได้เจอครูซออีกเลย

 

เคยคิดไหมว่าทำไมเราต้องถูกจับให้มาเรียนเรื่องการสื่อสาร ซึ่งถือว่าเป็นทักษะพื้นฐานมากๆ แบบนี้

สำหรับคนอื่นมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ จริงๆ ครับ (หัวเราะ) แต่ผมเชื่อว่ามันจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคล้ายๆ ผม ที่มีสังคมค่อนข้างส่วนตัว ไม่ค่อยอยากเจอใคร ซึ่งแค่การพูดธรรมดาก็เป็นเรื่องไม่พื้นฐานแล้วสำหรับพวกเรา

 

เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร ตั้งแต่ช่วงประถมที่ทอยก็เคยเป็นเด็กติดเกมที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์อย่างเดียวเลยหรือเปล่า

ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าแปลก คิดแค่ว่าผมอยู่ตรงนั้นได้ เรามีเพื่อน มีสังคมในเกม ยังมีอีกหลายคนที่เป็นแบบเราอยู่ แต่พอเริ่มทำเพลง จริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่ช่วงที่เป็นโปรดิวเซอร์ ที่ต้องทำงาน พูดคุยกับคนอื่น แล้วได้เห็นศิลปินหลายคนเขาจะมีสกิลในการสื่อสารหมดเลย แต่ผมกลับไม่มีสกิลนั้นเลย ก็เริ่มรู้สึกแปลก แล้วมันกดดันนะครับ สมมติขึ้นไปรับรางวัลหรืองานอะไรก็ตามที่ต้องขึ้นไปพูดกับคนเยอะๆ มันทำให้คนแบบผมอึดอัดมากเลยที่ต้องเป็นแบบนี้

 

จริงๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงที่เป็นโปรดิวเซอร์ ที่ต้องทำงาน พูดคุยกับคนอื่น แล้วได้เห็นศิลปินหลายคนเขาจะมีสกิลในการสื่อสาร แต่ผมกลับไม่มีสกิลนั้นเลย ก็เริ่มรู้สึกแปลก แล้วมันกดดันนะครับ สมมติขึ้นไปรับรางวัลหรืองานอะไรก็ตามที่ต้องขึ้นไปพูดกับคนเยอะๆ มันทำให้คนแบบผมอึดอัดมากเลยที่ต้องเป็นแบบนี้

 

ตามปกติ การขึ้นไปพูดบนเวทีก็ถือว่าเป็นเรื่องยากสำหรับคนพูดเก่งอยู่แล้ว กับคนพูดไม่เก่งแบบทอยต้องเตรียมตัวมากขนาดไหนเวลาขึ้นไปพูดบนเวทีแต่ละครั้ง

ตอนรับรางวัล Overdrive ครั้งแรก ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เพราะไม่คิดว่าจะได้รางวัลจริงๆ พอรับรางวัลเสร็จดีใจมาก พอลงมาจากเวทีก็มีไมค์เยอะแยะ มีคนถามคำถามเต็มไปหมด แล้วผมก็ช็อกไปเลย จำอะไรไม่ได้นอกจากแสงแฟลชที่ยิ่งเข้ามา

 

ทีนี้ก็คิดว่าคงต้องเตรียมตัวมากขึ้น พอได้ยินว่าผมมีชื่อเข้าชิงรางวัลของนิตยสาร The Guitar Mag ผมทำการบ้านเลยนะ อยู่กับตัวเองสักพัก คิดว่าจะพูดอะไรดี จดโน่นจดนี่ได้ประมาณ 4 บรรทัด แล้วฝึกท่องหน้ากระจกในห้องน้ำ เออ มันก็พอทำได้นะ สรุปวันนั้นเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ พอขึ้นไปบนเวที ผมพูดแค่ “ขอบคุณครับ” แล้วก็เดินลงเวทีเลย (หัวเราะ) บรรยากาศมันต่างจากที่ซ้อมในห้องน้ำมาก

 

มีคนแชร์คลิปตอนทอยรับรางวัลงาน JOOX Thailand Music Awards 2018 เยอะมาก ไม่ว่าทอยจะขึ้นไปทำอะไรบนเวทีคนก็ขำกันหมดเลย

คราวนี้เริ่มมีประสบการณ์เลยพอพูดได้ครับ แต่จากครั้งที่แล้วคิดว่าตัวเองคงมาทางซึ้งไม่ได้ ก็ตั้งใจให้มันฮาเลยแล้วกัน แต่ที่ผมเซ็งมากคือที่คนเขาขำกันมากๆ แค่ผมเดินขึ้นเวที หยิบรางวัลเขาก็ขำกันแล้ว ยิ่งพอผมพูดว่า “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย พวกคุณตลกอะไร” อันนั้นผมถามจริงๆ นะ ไม่ได้ต้องการให้คนขำเลย แต่กลายเป็นว่าคนก็ยิ่งตลกกันเข้าไปอีก ซึ่งผมอยากให้คนตลกในมุกที่ผมเตรียมมากกว่า เพราะผมเชื่อว่าทุกมุกผมตลกอยู่แล้วครับ (หัวเราะ)

 

เคยได้ยินไหมที่เขาพูดกันว่า ใครก็ตามที่บอกว่าตัวเองเป็นคนตลก จริงๆ แล้วไม่ใช่คนตลก เขาแค่คิดว่าตัวเองตลกเฉยๆ

นี่ไงครับ แค่ผมเป็นคนคิดแบบที่พี่พูดก็ฮาแล้วไง (หัวเราะ) คือบางทีมันไม่จำเป็นต้องตลกด้วยมุกที่เราตั้งใจทั้งหมดหรอก ยกตัวอย่าง เวลาผมต้องการให้คนขำกัน ผมก็ตั้งใจพูดเลยว่า “วันนี้ผมอาจจะพูดไม่ค่อยเก่งนะครับ…เพราะว่าผมรักหมดใจ” อะไรแบบนี้ ซึ่งผมเชื่อว่ามันตลกมาก แต่พูดออกไปแล้วเงียบกริบ ในใจผมเซ็งนะที่มันไม่ตลก แต่สุดท้ายมันจะสร้างเสียงหัวเราะจากความแป้กของเราตามมา

 

เริ่มคิดว่าตัวเองเป็นคนตลกตั้งแต่เมื่อไร

ตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ เพราะที่บ้านเป็นคนตลกหมดเลย พ่อแม่ป้าพี่น้อง ไม่มีใครไม่ตลกเลย

 

พอได้ยินว่าผมมีชื่อเข้าชิงรางวัลของนิตยสาร The Guitar Mag ผมทำการบ้านเลยนะ อยู่กับตัวเองสักพัก คิดว่าจะพูดอะไรดี จดโน่นจดนี่ได้ประมาณ 4 บรรทัด แล้วฝึกท่องหน้ากระจกในห้องน้ำ เออ มันก็พอทำได้นะ สรุปวันนั้นเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ พอขึ้นไปบนเวที ผมพูดแค่ “ขอบคุณครับ” แล้วก็เดินลงเวทีเลย (หัวเราะ) บรรยากาศมันต่างจากที่ซ้อมในห้องน้ำมาก

 

ไปเอามุกตลกแบบนั้นมาจากไหน

(คิดนาน) ผมว่ามุกพวกนี้มันเกิดจากความเหงานะ จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้ต้องการให้คนอื่นขำหรอก แต่อย่างน้อยการได้พูดอะไรออกไปมันอาจจะช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบ ต่อให้ไม่ตลกคนก็จะเห็นความพยายามของเราแค่นั้นก็โอเคแล้ว

 

ในความคิดของทอย ใครคือมนุษย์ที่ตลกมากที่สุด

ถ้าเป็นคนคิดไม่ออก แต่ตอนเด็กๆ ผมคิดว่าใบไม้คือสิ่งที่ตลก ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจเพราะเด็กๆ จิตใจไม่ได้คิดอะไร ไม่เครียด แค่เล่นอยู่กับเพื่อน แล้วเห็นใบไม้ปลิวลงมาก็ขำกับเพื่อนแล้ว แต่พอโตขึ้นบางทีเราเครียด ต่อให้เจอมุกที่ตลกมากๆ ยังทำให้เราตลกไม่ได้เลย

 

ทุกวันนี้เห็นใบไม้ปลิวลงมาแล้วยังขำอยู่ไหม

ไม่แล้วครับ เพราะรู้จักความเครียดแล้ว คราวนี้คิดว่า มึงจะตกลงมาทำไมวะ พื้นสกปรกหมดเลย (หัวเราะ) ล้อเล่นนะครับ

 

ถ้าไม่ตลกกับใบไม้ ทุกวันนี้มีอะไรที่ทำให้ทอยตลกได้บ้าง

(คิดนาน) โอ้โห นึกเป็นเรื่องเลยครับ เหมือนฟลุกๆ เจอเดี๋ยวก็ขำเอง ผมไม่ใช่คนเครียดตลอดเวลา หรือต้องพยายามหาความตลกให้กับตัวเองขนาดนั้น ถ้าไม่ขำ เราอยู่เฉยๆ ก็ได้ หรือถ้าจะเหงาก็ให้มันเหงาไป ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปแบบไม่ต้องฝืนธรรมชาติ คือผมชอบความตลก ชอบพูดตลกนะ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันเป็นแบบนั้นตลอดเวลา

 

ผมเซ็งมากคือที่คนเขาขำกันมากๆ แค่ผมเดินขึ้นเวที หยิบรางวัลเขาก็ขำกันแล้ว ยิ่งพอผมพูดว่า “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย พวกคุณตลกอะไร” อันนั้นผมถามจริงๆ นะ ไม่ได้ต้องการให้คนขำเลย แต่กลายเป็นว่าคนก็ยิ่งตลกกันเข้าไปอีก ซึ่งผมอยากให้คนตลกในมุกที่ผมเตรียมมากกว่า เพราะผมเชื่อว่าทุกมุกผมตลกอยู่แล้วครับ (หัวเราะ)

 

ในชีวิตทอยเคยทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติของตัวเองมาบ้าง

ฝืนเป็นนักเรียนที่ดีตอนเด็กๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนเรียนเก่งและไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ก็พยายามจะเป็นเพื่อให้คนที่บ้าน เพื่อให้ครูที่โรงเรียนสบายใจ

 

ฝืนทำในสิ่งที่หลายๆ คนคาดหวัง เช่นท่องสคริปต์เวลาไปสัมภาษณ์ช่วงแรกๆ ไม่ใช่ว่าผมอยากหาคำพูดที่มันดีๆ หรืออะไร แต่เพราะผมรู้ว่าผมพูดไม่ได้ ก็เลยพยายามท่องไปก่อน อยากให้ทีมงานเขาไม่ลำบากเวลาต้องคุยกับเรา ถึงมันจะไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยให้เขาเห็นความพยายามของเราก็ดี แต่สุดท้ายก็ท่องได้ไม่นานนะครับ สุดท้ายก็ปล่อยเลย (หัวเราะ)

 

แล้วก็ฝืนตัวเองเพื่อตื่นเช้ามาฝึกอะไรหลายๆ อย่างในช่วงดรอปเรียนแล้วมาฝึกกีตาร์หนักๆ อยู่กับดนตรีวันละ 10-12 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ปกติผมเป็นคนตื่นสายมาก แต่ถ้าฝืนเพื่อฝึกดนตรีมันยอมได้

 

ทุกวันนี้ยังมีโมเมนต์ฝึกกีตาร์หนักๆ อยู่กับดนตรีทั้งวัน วันละ 10-12 ชั่วโมงอยู่ไหม

ไม่มีเลยครับ ห่างจากโมเมนต์แบบนั้นไปนานมาก ผมคิดถึงมันมากเลยนะ คิดถึงทุกวันเลย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากๆ คิดว่ามันคือความสุขที่มากกว่าการประสบความสำเร็จ ความมีชื่อเสียงอีกนะ

 

รู้สึกอย่างไรที่ทอยฝึกตัวเองอย่างหนักเพื่อทำเพลง จนขึ้นมาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง แล้วพอถึงวันหนึ่ง ชื่อเสียงหรือการทำงานในฐานะศิลปิน ทำให้กลับไปมีความสุขแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

ความสุขแบบนั้นอาจจะหายไปนะ แต่มันก็ได้ความสุขอีกแบบเข้ามาแทน มันเป็นความสุขที่มีแฟนเพลง มีเพื่อนๆ มีทีมงาน มีทุกคนเข้ามาเป็นส่วนร่วม แทนที่เราจะมีความสุข มีความสนุกอยู่ในโลกของเรา วันนี้เราก็ชวนให้คนอื่นมามีความสุขไปพร้อมๆ กับเราด้วย

 

พอไม่มีเวลาฝึกกีตาร์วันละ 10-12 ชั่วโมงเหมือนเดิม ทุกวันนี้ทอยใช้ช่วงเวลาไหนในการพัฒนาตัวเอง

ในโชว์ที่ออกไปเล่นนี่แหละครับ อย่างกีตาร์ที่ผมเล่นจะไม่เคยซ้ำกันเลย คิดว่าไหนๆ ไม่มีเวลาฝึกก็ไปฝึกบนเวทีแทน แล้วคนดูจะสอนเราเองว่าแบบไหนดีหรือไม่ดี ถ้าดีก็เก็บไว้ใช้ ถ้ายังไม่ดีก็ฝึกเพื่อหาแบบที่ดีต่อไปเรื่อยๆ

 

จำความรู้สึกตอนที่ขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตในฐานะศิลปินที่ชื่อ The TOYS ครั้งแรกได้ไหม

จำได้ครับ งาน Cat Expo เวที Babb Bed Bed มีคนมาฟังประมาณ 200 คน ตอนแรกผมคิดว่าเขาน่าจะมารอฟังวงอื่นด้วยซ้ำ เลยไม่ได้โฟกัสที่คนดู ก็ตั้งใจโชว์ของเราไป พอท่อนโซโล่ก็หันไปเล่นกับมือกลอง ไม่อยากสบตาใคร เพราะคิดว่าเขาไม่สนเราหรอก แต่พอหันกลับมากลายเป็นว่าคนเขาร้องเพลงเราได้เยอะมากๆ แล้วมันรู้สึกดีมากเลยนะครับ เป็นโมเมนต์ที่ผมจำได้ และจะจำไปตลอดเลย

 

จำเวทีที่ขึ้นไปเล่นแล้วมีคนดูน้อยที่สุดได้ไหม

จำจังหวัดไม่ได้นะครับ แต่นั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปไกลเหมือนกันประมาณ 7 ชั่วโมง ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่เลยว่าเป็นงานอะไร เหมือนเป็นงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง แต่มีอยู่ 2 โต๊ะ มีคนฟังทั้งหมด 5 คน แล้วฝนก็ตกทำให้ทุกอย่างยิ่งลำบากขึ้นไปอีก แต่เชื่อไหม มันกลายเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ดีเหมือนกันนะ เพราะ 5 คนนั้นเขาไม่รู้จักด้วยซ้ำมั้งว่าผมคือใคร แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขาตั้งใจและเอ็นจอยกับการฟังเพลงของผมจริงๆ

 

เวลามีงานมากขึ้น มีคนฟังมากขึ้น แน่นอนว่าก็ต้องมีบางส่วนที่เขามางานแต่ไม่ได้ตั้งใจฟังเพลงของเรามากขึ้นไปด้วย เวลาเห็นภาพแบบนั้นแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรนะ เพราะเหมือนสายตาของผมจะรู้ว่าแฟนเพลงของเราอยู่ตรงไหน มีใครที่ตั้งใจฟังเพลงของเราอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกจริงๆ คือเวลาคนหยิบกล้องมาถ่ายวิดีโอนะครับ ไม่ใช่บอกว่าการทำแบบนี้ไม่ดีนะ แต่เพราะผมเป็นคนกลัวกล้องมาก ถ้าถามว่าระหว่างคนไม่ฟังเพลง กับคนฟังเพลงแต่ถือกล้องถ่ายวิดีโอไปด้วย อันไหนส่งผลกับผมมากกว่ากัน นี่ผมเลือกกล้องวิดีโอแบบไม่ต้องคิดเลย (หัวเราะ)

 

เป็นความฝันอีกอย่างหนึ่งเลยว่าอยากเห็นตัวเองไปเล่นละครแบบนี้บ้าง แล้วการแสดงก็ไม่ต้องมองกล้องแบบที่ผมกลัวมากเท่าไร อันนี้ผมพูดจริงๆ เลยนะครับ ถ้าใครมีบทต้นไม้ ก้อนหินอะไรแบบนี้ลองติดต่อมาดูก่อนนะครับ

 

มีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินคนอื่นๆ บ้างไหม

ช่วงมัธยมต้นไปบ่อยมากครับ เพื่อนชวนไปไหนก็ได้ แล้วก็จะชอบวงบอดี้สแลมมาก ผมโตมากับเพลงเขานะ ยังเก็บปิ๊กของพี่ยอดเอาไว้อยู่เลย แล้วผมชอบความรู้สึกเวลาไปดูคอนเสิร์ตนะ ยิ่งเป็นตอนเด็กๆ ไม่คิดอะไรมาก ไม่รู้หรอกว่าดนตรีที่ดีคืออะไร รู้แต่ว่ามันสนุกแค่นั้นเลย

 

เวลาสนุกกับคอนเสิร์ตมากๆ ทอยจะแสดงออกมาแบบไหน

เห็นผมเป็นแบบไหน ในคอนเสิร์ตก็แบบนั้นแหละครับ (หัวเราะ) สมมติถ้ามองจากด้านบน แล้วทุกคนกำลังกระโดดกันหมด ตรงที่ของผมก็จะเป็นหลุมดำอยู่จุดเดียว (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ ผมสนุกจริงๆ ในใจนี่โคตรมันเลย แค่ไม่แสดงออกมา เออ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

 

ทุกวันนี้ทอยมีเกณฑ์ในการเลือกรับงานบ้างหรือเปล่า

เรื่องนี้ผมไม่รู้เลยครับ ถ้าเป็นงานดนตรีก็แล้วแต่ค่ายจะให้ไปเล่นที่ไหนเลย ผมไปเล่นได้ทุกที่

 

ไม่ค่อยเห็นทอยไปออกอีเวนต์โชว์ตัวเท่าไรนะ ทั้งๆ ที่น่าจะมีคนติดต่อมาเยอะเหมือนกัน

อีเวนต์นี่คืองานที่ต้องไปพูดเยอะๆ ใช่ไหมครับ ผมคิดว่าทางค่ายคงรู้แล้วมั้งครับว่าคงไม่เหมาะกับผม (หัวเราะ) แล้วถ้าเป็นงานเปิดตัวอะไรสักอย่าง ก็จะเป็นงานที่ผมต้องไปเล่นดนตรีด้วยอยู่แล้วนะ เลยคิดว่าเป็นงานเล่นคอนเสิร์ตนี่ล่ะ ไม่ได้เป็นงานโชว์ตัวอะไร

 

มีงานแสดงติดต่อมาบ้างหรือเปล่า

น่าจะมีประมาณ 2-3 เรื่องนะครับ แต่ค่ายยังไม่รับ แต่จริงๆ ผมสนใจงานนี้มากเลยนะครับ เป็นความฝันอีกอย่างหนึ่งเลยว่าอยากเห็นตัวเองไปเล่นละครแบบนี้บ้าง แล้วการแสดงก็ไม่ต้องมองกล้องแบบที่ผมกลัวมากเท่าไร อันนี้ผมพูดจริงๆ เลยนะครับ ถ้าใครมีบทต้นไม้ ก้อนหินอะไรแบบนี้ลองติดต่อมาดูก่อนนะครับ

 

ถ้าไม่นับก้อนหินกับต้นไม้ ไม่ต้องคิดถึงสกิลการแสดง คิดว่าบทแบบไหนที่ทอยอยากเล่นมากที่สุด

ตัวร้ายมั้งครับ ตัวร้ายแบบไหนก็ได้เลย

 

ทำไมถึงอยากรับบทแบบนั้น

(คิดนาน) ผมคิดว่าในชีวิตจริงผมเป็นคนดี ผมอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศเป็นคนเลวบ้าง (หัวเราะ)

 

คิดว่าตัวเองเป็นคนดีในด้านไหนมากที่สุด

อันนี้มองในมุมผมล้วนๆ นะครับ ผมไม่ใช่คนที่เลิศประเสริฐอะไรหรอก แต่อย่างน้อยคิดว่าผมไม่ได้มีพิษมีภัยต่อใครแน่นอน ทุกอย่างที่เป็นความสุขที่ผมทำ ต้องเกิดบนความถูกต้อง และไม่กระทบ ไม่เบียดเบียนให้ใครเดือดร้อน ผมจะไม่สนุกบนความทุกข์ของใคร ผมจะไม่ส่งเสียงรบกวนเวลาไปไหน ทุกคนต้องรู้สึกเหมือนว่าไม่มีผมอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ คือทำยังไงก็ได้ให้คนอื่นไม่เดือดร้อนเพราะเรา อันนี้หมายถึงการทำงานด้วยนะครับ ผมเลยเลือกที่จะทำงานคนเดียว

 

เห็นผมเป็นแบบไหน เวลาไปดูคอนเสิร์ตก็แบบนั้นแหละครับ สมมติถ้ามองจากด้านบน แล้วทุกคนกำลังกระโดดกันหมด ตรงที่ที่ผมอยู่ก็จะเป็นหลุมดำอยู่จุดเดียว (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ ผมสนุกจริงๆ ในใจนี่โคตรมันเลย แค่ไม่แสดงออกมา เออ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

 

รู้สึกอย่างไรบ้าง จากคนที่ชอบดนตรีมากๆ แบบทอย ตั้งใจนำเสนอดนตรีทุกอย่างออกมาอย่างดีที่สุด จนวันหนึ่งที่ทอยเริ่มมีชื่อเสียง แต่กลายเป็นว่า ตอนนี้คนเริ่มมองไปที่หน้าตาของทอย มองที่ความตลกของทอย บางคนถึงขนาดคิดว่า ถ้ามีคลิปของทอยออกมานี่เตรียมตัวตลกได้เลย

แฮปปี้มากเลยครับ ผมเคยคาดหวังว่า คนต้องมาฟังเพลงเรา ประทับใจในเพลง ในโชว์ของเรา แล้วสุดท้ายมันก็เฟล เพราะเราก็ตั้งใจเล่นดนตรีที่ออกจะมีคุณภาพที่ดีขนาดนี้ (หัวเราะ) คิดว่าเรายังไม่พอเหรอ บางทีผมเล่นตั้งนานนะ แต่ไม่มีคนฟัง แต่พอตั้งสายอยู่แล้วตัวหนีบมันหลุด คนมอง คนตลกกันทั้งงาน ผมก็งงว่า เฮ้ย เมื่อกี๊ไม่เห็นมองกันเลย แต่ในเมื่อมันทำให้คนชอบ คนสนใจ คนมีความสุข อะโอเค ยังไงก็ได้ครับ ว่าตามกัน

 

มีเรื่องอะไรที่ทำให้ทอยโกรธ หรือไม่พอใจได้บ้าง เพราะเท่าที่คุยกันมาทั้งหมด เหมือนทอยจะมีความรู้สึกสบายๆ กับทุกอย่างในชีวิตไปหมดเลย

ผมโกรธคนยากครับ พูดจริงๆ เลยนะ ถ้ามีปัญหาหรืออะไรผมจะโทษตัวเองก่อน บางเรื่องอาจไม่เกี่ยวกับเราเลยนะ แต่มาลองดูก่อนว่า เฮ้ย เราพลาดตรงไหนหรือเปล่า ควรแก้อะไรไหม แล้วถ้าแก้มันจะมีผลอะไรบ้าง ก็ค่อยๆ ไล่ไปทีละอย่าง ถ้าหงุดหงิดนิดๆ หน่อยๆ อาจะมีบ้าง แต่ยังนึกไม่ออกเลยว่าโกรธคนครั้งสุดท้ายเมื่อไร

 

เวลาขับรถแล้วถูกปาดหน้าล่ะ

อันนี้คิดว่าผมน่าจะทำให้คนอื่นโกรธมากกว่านะ (หัวเราะ)

 

ที่สักคำว่า ‘fuck social’ ไว้ที่แขนนั่นไม่ได้โกรธใครเหรอ

ไม่ได้โกรธใครครับ อันนี้ไม่ได้พูดถึงใครเลยจริงๆ นะ ผมเอาไว้เตือนตัวเองว่าให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ง่ายที่สุดก็คือเราก็แค่สนใจในสิ่งที่เราสนใจ เหมือนเวลาไม่กินผัก เราก็แค่เขี่ยมันออก ไม่ต้องไปโทษคนทำว่า เขาจะใส่ผักมาทำไม เพราะผักมันก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ก็ปล่อยไว้เฉยๆ ก็พอ

 

 

ร้องไห้บ้างไหม

ถ้าเพราะเสียใจผมไม่เคยร้องเลยนะ แต่จะร้องไห้กับบางเรื่องที่มันอึดอัด หรือไม่ก็ดีใจสุดๆ เท่านั้นเอง แต่ถ้าเสียใจผมเฉยๆ มาก เพราะคิดว่าคนเรามันมีเรื่องให้ต้องเสียใจทุกวันอยู่แล้ว แต่จะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่เท่านั้นเอง

 

เวลาอกหักก็ไม่ร้องไห้เหรอ

อันนี้โคตรเล็กเลยครับ (ตอบทันที) การอกหักน่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตที่จะทำให้ผมเสียใจได้ ผมยังงงอยู่เลยว่าอกหักคืออะไร อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราต้องเสียใจจากการอกหัก ผมไม่เข้าใจจริงๆ นะ

 

เพราะความผิดหวังไง

ถ้าผิดหวังแสดงว่าเราหวังให้เขารักเราถูกไหมครับ ซึ่งอันนี้ผมไม่เคยหวัง อย่างตอนเด็กๆ ผมเคยถูกเพื่อนบิลด์ให้ไปบอกชอบคนที่ผมแอบชอบ ผมก็เดินไปบอกเขาว่า “เราชอบเธอนะ” เขาก็ “อ๋อ โอเค” แล้วก็จบ แยกย้ายกลับบ้าน ไม่ได้ผิดหวัง เพราะเราแค่อยากบอกเขาเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าเขาจะรักเรา

 

เวลาเห็นคนที่เรารักไปรักคนอื่นล่ะ

ก็ยิ่งดีสิครับ ถ้าชีวิตเขามีความสุข มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอครับ นี่ผมคิดแบบนี้จริงๆ นะ อาจจะมีคนไม่เชื่อก็ได้ แต่ดูจากประวัติศาสตร์ในชีวิตผมได้เลย

 

แต่จีบผู้หญิงตามปกติใช่ไหม

ตอนเด็กๆ ก็มีบ้าง เห็นเพื่อนทำกันแล้วคิดว่าเท่ก็ลองจีบดู ตอนนี้ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไปทำไม ไม่รู้อ่ะ ผมคิดว่ามันฟังดูเขินมากเลยนะ เวลาพูดคำว่าจีบผู้หญิง ไม่เคยมีคำนี้อยู่ในหัวเลย อย่างแฟนของผมเราก็รู้จักกันมาตั้งแต่ ป.2 ก็เริ่มจากเป็นเพื่อนกันแล้วก็พัฒนามาเป็นแฟน มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกของการจีบอะไรนะ

 

ผมคิดว่าผมโรแมนติกที่สุดในโลก แต่โรแมนติกในที่นี้มันไม่ใช่การให้ดอกไม้ หรือการทำช็อกโกแลตให้แน่ๆ แต่คือการที่ผมจะดูแลเขาตลอดไป คิดว่าแค่นี้ก็น่าจะโรแมนติกแล้วนะ

 

เวลาทะเลาะกับแฟนล่ะ เรื่องนี้ทำให้เสียใจได้หรือยัง

เอาจริงๆ นะครับ ผมไม่เคยทะเลาะกับแฟนเลยครับ คบกันมา 4 ปี ไปถามแฟนผมได้เลย มันจะมีเถียงกันเป็นเรื่องๆ อย่างเรื่องงานก็ต้องคุยกันตลอดเพราะผมกับแฟนทำงานด้วยกัน มันก็จะเป็นอีกโหมดหนึ่งที่มีความคิดไม่ตรงกันบ้าง แต่ถ้าเรื่องส่วนตัวนี่ (คิดนาน) เออ ไม่เคยเลยจริงๆ นะ ถ้าโกรธกันแบบจะเป็นจะตายนี่ไม่มีแน่นอน

 

หลายคนจะคิดว่า คนที่เป็นแฟนกัน ไม่ควรทำงานด้วยกัน

เออ ได้ยินมาเยอะเหมือนกันครับ แต่สำหรับผมมันคือคนละพาร์ตกัน เวลาคุยเรื่องงานก็คืองาน เปิดใจฟังซึ่งกันและกัน อย่าคิดว่าเราถูกเสมอ หรือเขาผิดเสมอ ทำยังไงก็ได้เพื่อหาข้อสรุปให้เร็วที่สุด แล้วต้องเคลียร์ให้จบให้ได้ก่อนนะ

 

ใครจะเป็นฝ่ายยอมมากกว่ากัน

ทั้งคู่เลยครับ วิธีของเราคือ จะฟังเหตุผลของกันและกันก่อน ถ้าเหตุผลใครหนักแน่นกว่า กางมาเลยว่าถ้าทำแบบนี้ๆๆ แล้วมันจะมีผลอะไรบ้าง ถ้ามีเหตุผลมากพอจนอีกคนเถียงไม่ได้เมื่อไร อีกคนจะยอมเอง ตอนคุยจะดูดุดันมากเลยนะ ถามคนที่ค่ายก็ได้ (หัวเราะ) แต่มันคือการคุยกันด้วยเหตุและผล ซึ่งไม่ใช่ว่าความคิดของใครถูกหรือผิดด้วยนะ มันแค่เป็นความคิดที่ไม่ตรงกัน แล้วมันสนุกมากเลยนะที่เป็นแบบนี้

 

ทอยเป็นคนรักที่จำวันสำคัญของคนรักได้ดีขนาดไหน

บางครั้งก็จำได้ บางครั้งก็จำไม่ได้ครับ (หัวเราะ)

 

คิดว่าตัวเองเป็นคนรักที่โรแมนติกหรือเปล่า

ในมุมมองของผมนะ ถ้าไปถามแฟนผมอาจจะได้อีกคำตอบหนึ่ง (หัวเราะ) ผมคิดว่าผมโรแมนติกที่สุดในโลก แต่โรแมนติกในที่นี้มันไม่ใช่การให้ดอกไม้ หรือการทำช็อกโกแลตให้แน่ๆ แต่คือการที่ผมจะดูแลเขาตลอดไป คิดว่าแค่นี้ก็น่าจะโรแมนติกแล้วนะ

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising