×

ศิลปะ การทำงาน และความโด่งดังที่ไม่ได้ตั้งตัวของ The TOYS มนุษย์ผู้ทำทุกอย่างให้ที่สุดในทุกสิ่ง [Advertorial]

18.09.2018
  • LOADING...

การที่มนุษย์เราจะทำอะไรก็ตามในชีวิตให้ได้ ‘ที่สุด’ ใน ‘ทุกสิ่ง’ เราต้องใช้ความพยายาม มุมานะ หรือเรี่ยวแรงมากแค่ไหนกันเชียว แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ามนุษย์เราเริ่มมีความ ‘อยาก’ จะทำอะไร เราเชื่อว่าพวกคุณเองก็ย่อมต้องไปให้สุด และลงมือทำมันอย่างเต็มที่

 

THE STANDARD ร่วมกับ บัตรเครดิตกรุงศรี ที่สนับสนุนให้คุณออกไปใช้ชีวิตแบบ ‘ที่สุด…ทุกสิ่ง’ พาไปพูดคุยกับศิลปินหนุ่มที่ทุ่มเทแบบที่สุดในทุกสิ่งเพื่อทำในสิ่งที่รัก

 

The TOYS หรือ ‘ทอย-ธันวา บุญสูงเนิน’ ศิลปินชายเดี่ยวที่แจ้งเกิดที่สุดในช่วงไม่กี่ปีให้หลังมานี้ ความโด่งดังที่เกิดขึ้นจากหลายๆ ปัจจัยไม่ว่าจะด้วยผลงานดนตรีที่น่าสนใจ โดดเด่นด้วยสไตล์ และสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้ภูมิทัศน์ของวงการเพลงป๊อปไทยแปลกหูไปโดยสิ้นเชิง หรือแม้แต่การปรากฏตัวในสื่อของเขาที่ล้วนแต่สร้างความงุนงงฉงนใจให้กับผู้คนในสังคม ถึงความนิ่ง ไร้อารมณ์ หรือการคาดเดาความรู้สึกของเขาไปต่างๆ นานาจากผู้คนในสังคม

 

ปัจจัยเหล่านั้นอาจทำให้ทอยกลายเป็นที่ถูกพูดถึง แต่แท้จริงแล้วในวันที่เขายังมีตารางงานโชว์แน่นแทบจะทุกวันตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ศิลปินชื่อ ‘ทอย’ คนนี้ใช้แนวคิดอะไรที่สามารถทำให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก และทุกๆ อย่างในชีวิตได้อย่างเต็มที่และที่สุดในทุกสิ่ง

 

 

ถ้าคุณไม่ได้ข้องแวะใดๆ กับอุตสาหกรรมดนตรีในประเทศไทย คุณเองก็อาจจะรู้จักทอยจากเพลง ‘หน้าหนาวที่แล้ว’ เพลง ‘ก่อนฤดูฝน’ ที่ได้ยินผ่านหูบ่อยๆ ตามวิทยุ หรือรู้จักเพราะหน้านิ่งไร้อารมณ์ของเขากลายเป็นมีมที่คนแห่ไปเล่นกันทั่วโลกโซเชียล แต่จริงๆ แล้วชีวิตการทำงานดนตรีของทอยนั้นเริ่มต้นตั้งแต่เขาอายุ 17 ปี ทำหน้าที่โปรดิวซ์เพลงให้ศิลปินมากมาย ทั้งแต่งเนื้อให้ ทำเพลงให้ อัดกีตาร์ให้ รวมไปถึงเขายังเคยได้แชมป์กีตาร์ระดับประเทศจากรายการการแข่งขัน Overdrive Guitar Contest มาแล้วอีกด้วย ซึ่งคุณอาจไม่รู้จักเขาในตอนนั้น

 

และครั้งนี้ THE STANDARD ได้ถือโอกาสนั่งคุยกับเขาถึงเรื่องราวของชีวิตในช่วงปีให้หลังที่ผ่านมา วิธีคิด การทำงาน และความโด่งดังที่เขาบอกเองเต็มปากว่า ‘ไม่ได้ตั้งตัว’ ในวัย 22 ปี และชีวิตที่ประสบความสำเร็จของทอย ล้วนเกิดขึ้นจากทัศนคติที่เขาทำทุกอย่างให้มัน ‘ที่สุดทุกสิ่ง’ บ่มเพาะมาจากทุกๆ ประสบการณ์ในชีวิต ไม่ว่าเป็นการใช้ชีวิต การเดินทาง การทำสิ่งที่ชอบ ซึ่งต้องทำให้มันที่สุด แล้วทุกอย่างนี้จะรวมกันเป็นตัวตน และสะท้อนออกมาในงานที่ทำ เพราะชีวิตไม่ได้ขึ้นกับอยู่วัย แต่ขึ้นกับว่าคุณทำทุกอย่างในชีวิต…ให้ที่สุดทุกสิ่งหรือยัง

 

ชีวิตในช่วงหนึ่งปีให้หลังที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

จำอะไรไม่ค่อยได้เลย อันนี้จริงๆ นะ แต่ผมรู้สึกดีใจตลอดที่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ก็มีคนที่รอมาเจอกัน มารอดู ผมแฮปปี้ทุกครั้ง และยังสนุกกับมันอยู่

 

อะไรคือสิ่งที่คุณเรียนรู้ในวันที่คุณนั่งอยู่เบื้องหลัง

ช่วงนั้นหลังจากที่ไปประกวดรายการ Overdrive เสร็จ ผมก็เจอคนมากมายที่อยู่ในวงการเพลงเยอะขึ้น ผมก็ได้ไปนั่งอยู่ในห้องอัด หลายๆ คนก็จะรู้จักผมในฐานะมือกีตาร์ Overdrive ก็มีงานจ้างให้ไปอัดเสียง จ้างไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็น่าเป็นเรื่องการทำงานกับห้องอัด

 

ดูเหมือนคุณเองก็ลองผิดลองถูกกับการทำงานทุกสิ่ง และทำมันอย่างตั้งใจที่สุด

ผมทำจนมันคุ้นชินไปกับกระบวนการทำงานตรงนั้น จนสุดท้ายผมเองก็รู้วิธีการอัดกลอง ตั้งไมค์ ผมก็ศึกษาเองเลย ตั้งไมค์อัดกลอง แล้วก็ลองอีดิตในโปรแกรมง่ายๆ ทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนได้ทำเพลงเอง ฝึกเรื่องการเขียนเนื้อและเมโลดีไปเรื่อยๆ ผมทำตามอารมณ์ สนุกๆ ทำไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนแรกๆ ผมไม่เป็นเลยนะ เพราะว่ามือกีตาร์ในห้องอัดมันต้องเล่นกับเมโทรนอม (เครื่องนับจังหวะ) มันจะต้องมีรูปแบบของมัน มือกีตาร์เล่นอยู่บ้านอย่างผมทำไม่ได้ ผมไม่ชิน แต่สุดท้ายมันก็ชิน เพราะผมทำจนชิน

 

ผมก็พยายามแล้วนะ ไปเปิดดูศิลปินคนอื่น ดาราคนอื่น นักแสดงคนอื่นๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร ตอบคำถามอย่างไร อยู่หน้ากล้องอย่างไร ผมก็ฝึกอยู่นะ

 

ทอยคิดว่าการเป็นศิลปินชื่อดังอย่างทุกวันนี้ ห่างไกลจากความคาดหวังในชีวิตมากน้อยแค่ไหน

โห จริงๆ ผมไม่ได้คิดเลยถึงการเป็นศิลปิน มันห่างไกลมาก และจริงๆ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงของคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ทั้งศิลปินในบ้านเรา หรือต่างประเทศก็ฟัง และก็คิดนะว่าการเป็นศิลปินแม่งเจ๋งดี แต่ก็ไม่กล้าคิดเลยว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับตัวเรา มันจะมีคนมารอ มาเจอเรา มาถ่ายรูป เรามีแฟนคลับ ซึ่งผมคิดว่าศิลปินคนอื่นเขาเจ๋งนะ เขาทำได้อย่างไร ซึ่งมันไม่ได้มีความคิดแบบนั้นในหัวเลยว่าผมจะได้โอกาสเหล่านี้

 

ความไม่คาดหวังของทอยกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ค่อนข้างแตกต่างกันมาก

ผมว่ามันงงๆ มากกว่า ด้วยความที่ผมไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้เตรียมตัวไว้ ผมอยู่ในที่ที่ไม่มีสปอตไลต์ส่องมา ผมอยู่ตรงนั้นมาตลอด ผมชอบกับการเป็นเบื้องหลัง ทำเพลงให้กับศิลปิน ซึ่งผมว่าการเป็นโปรดิวเซอร์คืออันดับหนึ่ง แต่วันหนึ่งเรายังไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สปอตไลต์มันส่องมาที่ผมแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเหมือนกัน ไม่รู้เลยจริงๆ คุยกับใครก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ)

 

 

ทอยปรับตัวเองให้รับมือกับการ ‘ไม่ทันได้ตั้งตัว’ นี้อย่างไร

สำหรับผมการเป็นโปรดิวเซอร์กับศิลปินนี่มันคนละเรื่องเลยครับ การเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ต้องรับมือกับอะไรเลย โคตรสบาย ไม่ต้องเทกแคร์ใคร ไม่ต้องทำอะไรก็ตามที่โดนคนบังคับ เราสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่มีคนเห็น ซึ่งบางทีไม่มีคนอยากเห็นว่าใครนั่งอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายเขาก็ฟังแต่ผลงาน แต่ในทางตรงข้าม การเป็นศิลปินมันต้องสวนทางกันหมดเลย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่มันคือเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย ซึ่งแรกๆ ผมก็พยายามแล้วนะ ไปเปิดดูศิลปินคนอื่น ดาราคนอื่น นักแสดงคนอื่นๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร ตอบคำถามอย่างไร อยู่หน้ากล้องอย่างไร ผมก็ฝึกอยู่นะ ได้ประมาณ 3 วัน (หัวเราะ) ฝึกพูด ฝึกแสดงอารมณ์ร่วม แต่ผมทำไม่เป็นจริงๆ ซึ่งนั่นคือที่สุดของผมแล้วนะ ผมว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

 

 

ทอยคิดว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาของทอยหรือเปล่า

แรกๆ คิดว่าเป็นปัญหานะ แต่หลังๆ ผมเห็นว่ามีคนที่เขาแฮปปี้กับสิ่งที่เราเป็น ผมก็เลยรักเขา และมีคนที่เข้าใจในความเป็นเรา ผมก็โอเค

 

วิธีคิดในการทำงานเพลงแบบทอยเป็นอย่างไร อะไรคือแรงบันดาลใจของทอยที่อยากทำทุกสิ่งให้ได้ดั่งใจที่สุด

การที่เราจะทำอะไรสักอย่างให้ถึงที่สุด มันต้องมีเรื่องของความหลงใหลหรือความชอบอะไรมากๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิด อย่างผมเป็นคนชอบเรื่องของภาพมาก งานวิชวล ทุกอย่างที่เป็นเฉดสี ผมชอบเรื่องนั้นมาก แต่ผมวาดรูปไม่เก่งนะ ซึ่งการทำเพลงทุกเพลงของผม แพสชันมันมาจากภาพ เราไม่ได้ยินว่าไลน์กีตาร์ ไลน์ซินธิไซเซอร์เป็นแบบนี้นะ แต่ผมต้องเห็นภาพ เห็นเฉดสีของมันก่อน ถึงกล้าจะใส่เสียงลงไป บางเพลงสีดำหมดเลย แต่เราจะใส่สีส้มลงไป ผมจะนึกถึงภาพก่อน แต่นี่เป็นแค่วิธีคิดส่วนตัวเฉยๆ นะ

 

ทอยคิดงานเพลงเริ่มต้นจากภาพ คล้ายๆ กับการคิดถึงมิวสิกวิดีโอมาก่อนเพลง

ครับ คือผมเคยไปนั่งเรียนในคลาสสอนแต่งเพลง แต่อยู่ไม่จบนะ (หัวเราะ) ประมาณว่า เขาสอนเรื่องซาวด์ อะเรนจ์เมนต์ การคอมโพส แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันได้กลิ่นอะไรเลย ไม่เห็นภาพอะไรเลย สำหรับผมเพลงที่รู้สึกดี ผมต้องฟังแล้วรู้สึกว่าผมกินมันเข้าไปได้ ภาพที่มันสวย องค์ประกอบที่มันใช่ เรารู้สึกว่ามันมีรสชาติ มันกินได้

 

ความขัดแย้งมันคือเสน่ห์ สำหรับผมมันคือองค์ประกอบของทุกๆ อย่างในโลกที่เรียกว่าศิลปะ มันต้องตัดกันเสมอ สร้างความแตกต่างและรสชาติอะไรใหม่ๆ

 

งานวิชวลแบบไหนที่ทอยชื่นชอบ

แนวภาพแบบ Vaporwave ที่มีความตัดกัน สีที่มันคอยตัด คอยไม่เข้ากันตลอด แต่ถ้าแบบว่าเปรียบเทียบเป็นคน เหมือนคนชอบอะไรหวานๆ นิสัยก็หวาน อะไรก็หวาน เห็นแล้วรู้สึกเลี่ยนปะ แต่ก็มีบางคนที่แต่งตัวหวานแต่โคตรห้าว ความขัดแย้งตรงนี้มันคือเสน่ห์ สำหรับผมมันคือองค์ประกอบของทุกๆ อย่างในโลกที่เรียกว่าศิลปะ มันต้องตัดกันเสมอ สร้างความแตกต่างและรสชาติอะไรใหม่ๆ

 

ถ้าไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์หรือศิลปิน ทอยจะนิยามว่าตัวเองเป็นใคร และทำอะไรอยู่

นิยามว่าเป็น ‘คน’ ละกันครับ เป็นคนธรรมดาเลย ธรรมดาคนปกติ ไม่ได้ต่างจากคนอื่นเลย

 

 

ทำเพลงมาก็เยอะ ประสบความสำเร็จพอสมควร ความล้มเหลวที่สุดที่คุณเคยจินตนาการไว้เป็นอย่างไร

ไม่เคยมีเพลงไหนที่ผมทำแล้วผมรู้สึกว่าต้องคาดหวังกับคนรอบข้าง ส่วนใหญ่มันมาจากสิ่งที่เราชอบ แล้วสรุปวันนี้เราทำเพลงเพราะเราแคร์คนอื่นเหรอ เราแคร์เงินเหรอ เราทำเพลงเพราะเราหวังว่ามันจะดัง รวยเท่านั้นเหรอ ผมเลยไม่ได้คิดถึงความล้มเหลวใดๆ แต่ผมจะคิดว่าถ้าเราไม่ชอบเพลง เพลงมันก็ไม่ชอบเราได้เหมือนกัน เพลงมันมีชีวิต ผมเชื่อแบบนี้ตลอด เราจะได้ยินเสียงเพลงกันทุกคน แต่เพลงก็ได้ยินเราเหมือนกัน ได้ยินความคิดของเราที่เราคิด เช่น เพลงเพลงนี้ใส่ซาวด์แบบนี้ลงไป ที่ใส่เพราะศิลปินคนนั้นใส่แล้วเพลงมันดัง ใส่แล้วทำรายได้ให้เขา เราเห็นก็เลยใส่บ้าง อยากได้แบบเขาบ้าง

 

เพลงที่ทอยฟังบ่อยที่สุดในช่วงนี้

ช่วงนี้ผมฟังฮิปฮอปเกาหลี ฟัง Diplo แต่จริงๆ ผมชอบทุกแนวนะ เมทัลก็ฟังได้หมด ผมว่าเพลงทุกเพลงมันมีเสน่ห์ของมันเอง ผมฟังทุกสิ่งเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ

 

ทอยทำงานทางด้านดนตรีมาเกือบทุกสิ่งแล้ว ความท้าทายไหนในชีวิตที่ทอยยังไม่เคยทำ และอยากทำมากที่สุด

ถ้าถามถึงความท้าทาย ผมอยากทำอาหารเป็นมากที่สุด เพราะตอนเด็กๆ ผมกลัวน้ำมันมาก ผมกลัวมันกระเด็น และที่บ้านสอนให้ทำอาหารตลอด แต่ผมไม่ฟัง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากฟังที่บ้านเรื่องทำอาหารมากกว่านี้ ผมทำไข่เจียวยังไหม้ สำหรับผมว่ามันคือสิ่งที่ยากที่สุด และท้าทายผมมากนะ และผมก็ชอบไปดูคลิปทำอาหาร ทำขนม สนใจมาก

 

เราต้องเข้าใจมนุษย์ก่อนว่าความสุขของมนุษย์คือการได้ทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ สิ่งที่เราไม่มี นี่คือความสุขของมนุษย์ เพื่อให้ชีวิตได้ต่อสู้หรือทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้มา

 

ทอยคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทอยประสบความสำเร็จ

ไม่รู้เลยครับ แต่ผมเชื่อเรื่องหนึ่งนะว่าโลกนี้มันมีบาลานซ์ของมันอยู่ เหมือนเหรียญที่มันเท่ากันสองด้าน เหรียญด้านใดด้านหนึ่งจะเบากว่าอีกด้านไม่ได้ สิ่งที่ประสบความสำเร็จของคนทุกคนเลยคือความพยายาม การได้ทำอะไรก็ตามที่เราชอบ ที่เรารัก เราอยากเป็นอย่างไร อยากทำอะไร เราก็แค่อยู่กับมันให้มากพอ เหมือนเลือกเหรียญด้านใดด้านหนึ่ง เดี๋ยวพอวันหนึ่งเราทำสำเร็จแล้ว หรือเบื่อ เราก็แค่พลิกเหรียญอีกด้าน ทำชีวิตให้บาลานซ์ เอาที่ไหว และอย่าหลอกตัวเองว่าเราไหวอยู่

 

 

‘ทำทุกอย่างให้ที่สุดในทุกสิ่ง’ ทอยคิดเห็นอย่างไรกับทัศนคติในการใช้ชีวิตแบบนั้น

การที่ผมจะทำอะไรก็ตามให้ที่สุดในทุกสิ่ง อย่างเดียวเลยคือเราต้องเข้าใจมนุษย์ก่อนว่าความสุขของมนุษย์คือการได้ทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ สิ่งที่เราไม่มี สิ่งที่เราโดนห้าม นี่คือความสุขของมนุษย์ เพื่อให้ชีวิตได้ต่อสู้หรือทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้มา ให้มีแรงบันดาลใจและจะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ให้ได้มันมา ผมว่ามันแค่นั้นเลยกับการทำอะไรก็ตามให้ที่สุดในทุกสิ่ง อยากทำก็ทำเลย อยากออกไปหาไอเดียใหม่ๆ หาอะไรอร่อยๆ กิน ก็ออกไปเลย ตามที่ใจต้องการ

 

ออกไปใช้ชีวิตแบบ ‘ที่สุด…ทุกสิ่ง’ กับบัตรเครดิตกรุงศรี ที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ มอบสิทธิประโยชน์และโปรโมชันที่ตรงกับความต้องการของคุณ สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่อง กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง และไลฟ์สไตล์เฉพาะด้านแบบต่างๆ ได้แบบรู้ใจ ทันใจ และโดนใจ ให้คุณทำทุกความต้องการของคุณให้เป็นจริงได้ จะซื้อรองเท้าใหม่ เข้าคุกกิ้งคลาส หรือออกไปชมโลกกว้างก็ทำได้

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก m.me/krungsricard

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X