รถแข่งสีแดงและขาว
เป็นอีกครั้งที่รถแข่งของทีมฟอร์มูลาวันจะถูกปรับเปลี่ยนสีสันและลวดลายในวาระโอกาสที่สำคัญ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือน่าแปลกใจอะไร เพียงแต่ภาพของรถแข่งจากทีม Scuderia Ferrari ที่จะใช้สำหรับการแข่งขันรายการอิตาเลียน กรังด์ปรีซ์ 2025 ที่มอนซา มีผลต่อหัวใจไม่ใช่น้อย
เพราะนี่คือสีของรถแข่งที่ได้แรงบันดาลใจจาก Ferrari 312/T ในปี 1975 รถคู่ใจที่พา นิกิ เลาดา สู่การเป็นแชมป์โลกสมัยแรก
ความทรงจำมากมายถูกพัดให้ผ่านมาอีกครั้งเหมือนสายลม และเปลวเพลิงที่เกือบผลาญชีวิตของเขาที่สนามนูร์เบิร์กริงใน 1976
นิกิ เลาดา เจ้าของสมญา “King Rat” หรือ “The Rat” (ไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่ฟันหน้าของเขาห่างเหมือนหนูเฉยๆ) เป็นหนึ่งในสุดยอดนักแข่งรถฟอร์มูลาวันในระดับตำนาน ที่แม้หลายคนจะเกิดไม่ทันยุคสมัยของเขาในเวลานั้น
แต่หลายคนน่าจะทันได้เห็นเลาดา (รับบทโดย Daniel Brühl) ในภาพยนตร์เรื่อง “Rush” (2013) ที่ทำให้เราได้เห็นภาพในความทรงจำของนักขับผู้เย็นชาและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน
เรื่องนี้มีทั้งจริงและหลอก
การขับเคี่ยวกันระหว่างเขาและเจมส์ ฮันต์ (รับบทโดย Chris Hemsworth) คู่แข่งแห่งชีวิตนั้นไม่ได้เป็นการแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายและทั้งสองไม่ได้ชิงชังอะไรกันขนาดนั้น ในทางตรงกันข้ามยอดนักขับทั้งสองต่างเป็นเพื่อนที่สนิทและคุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน
น้ำใจและไมตรีระหว่างทั้งสองคือของจริงจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
เพียงแต่มันก็เป็นจริงเช่นกันที่บุคลิกบางอย่างของนิกิ ไม่ว่าจะท่าทาง การกระทำ คำพูดคำจา เขาไม่ได้เข้าถึงง่ายขนาดนั้นสำหรับทุกคน
มันอาจเป็นเพราะเลาดาเป็นชาวออสเตรียน ที่ไม่ถนัดการแสดงออกทางความรู้สึกให้เห็นมากนัก อีกทั้งเขายังเกิดในครอบครัวคหบดี มีธุรกิจใหญ่ในอาณาจักรธนาคารในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ที่ทำให้เกิดมาเขาไม่ต้องทำอะไรเลยก็มีกินมีใช้ไปจนวันสุดท้ายได้
แต่สำหรับนิโคลัส แอนเดรียส เลาดา หรือ “นิกิ” เขารู้ตัวว่าเขาเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่รักเท่านั้น
เส้นทางของเขาไม่ต่างอะไรจากยอดนักขับระดับตำนานคนอื่นๆ ที่เริ่มด้วยความหลงใหลในรถแข่ง หลงรักในความเร็วและการแซงทางโค้ง นั่นทำให้เขาตัดสินใจพักการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนแข่งรถแบบเต็มตัว แม้จะต้องกู้เงินเพื่อมาเรียนด้วยตัวเองก็ตาม
ความทุ่มเทหมดหน้าตักนี้คือต้นทุนสำคัญที่ทำให้เขาได้เริ่มต้นการเดินทางในถนนสายนักแข่ง จากการแข่งในระดับฟอร์มูลาวี (Formula Vee) และฟอร์มูลา 3 ในปี 1972 เขาได้ขึ้นสู่ระดับฟอร์มูลา 2 และฟอร์มูลา 1 โดยสิ่งที่เป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ที่จะทำให้เขาลงแข่งขันได้ก็คือกรมธรรม์ประกันชีวิตของเขาเอง
พูดง่ายๆ คือเขาเอาชีวิตของเขามาเดิมพันเพื่อให้ได้ลงแข่งขันในสนาม
เพียงแต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น นิกิต้องพยายามและดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้ลงแข่ง ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจย้ายจากทีม March มาอยู่กับทีม BRM ในปี 1973 ด้วยสัญญาในแบบ Rent-a-ride คือเช่ารถแข่งไปขับ
สัญญาฉบับนี้ทำให้เขามีโอกาส และรถแข่งของ BRM ก็ดีพอที่จะทำให้เขาทำผลงานในสนามได้ แววของนักขับระดับอัจฉริยะทำให้ทีมรู้ว่าพวกเขาค้นพบสมบัติชิ้นใหญ่ จนเสนอสัญญาฉบับใหม่ให้อย่างรวดเร็ว
“ลงแข่งให้กับเราอีก 2 ปีสิ แล้วหนี้ทั้งหมดที่นายมีเราจะจัดการให้เอง”
แต่ทีมอย่าง BRM ก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้นาน ในปีถัดมาเอ็นโซ เฟอร์รารี เจ้าของทีมรถแข่ง Scuderia Ferrari ที่ไม่ได้แชมป์โลกอีกเลยเป็นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่จอห์น เซอร์ทีส พารถแข่งของเขาคว้าแชมป์ได้ในปี 1964 ก็ติดต่อเลาดามาด้วยความประทับใจในความมั่นใจและการทำงานที่เกินร้อยไปไกล
เด็กคนนี้นอกจากจะรู้จริงในรถแข่งแล้ว ปากของเขายังตรงกับหัวใจอีกด้วย
แค่ในการทดสอบรถครั้งแรกในปี 1974 นิกิก็บอกกับตำนานเจ้าของทีมผู้ยิ่งใหญ่ว่ารถของเขามันห่วยบรมห่วย แต่ถึงจะบอกแบบนั้นเขากลับให้สัญญาว่าจะพยายามทำให้รถแข่งคันนี้ไปได้ไกลที่สุดและเป็นการแข่งที่คุ้มค่าด้วย
ทั้งสองตกลงร่วมมือกัน โดยนิกิยอมย้ายออกจากทีม BRM มาอยู่กับเอ็นโซ และมันนำไปสู่การเป็นตำนานของเขา
นอกเหนือจากเซนส์ในการขับที่ยอดเยี่ยมแล้ว ความพิเศษเฉพาะตัวอีกอย่างของ นิกิ คือสไตล์การขับขี่ที่ละเอียดยิบที่ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างรอบคอบ และนั่นทำให้เขาได้รับสมญาจากผู้สื่อข่าวว่า “The Computer”
แต่ถึงอย่างนั้นในการแข่งปี 1974 เขาเองก็เผชิญกับความผิดพลาดร้ายแรงหลายครั้งจนประสบความพ่ายแพ้ก็หลายหน สำหรับหลายคนมันอาจจะชวนท้อ แต่สำหรับนิกิเขามองว่าความพ่ายแพ้คือหนทางลัดที่จะทำให้เขาได้เรียนรู้ได้ดีและเร็วที่สุด
ตลอดการแข่งในปี 1974 เป็นเหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์รถแข่งของเขารวมถึงทีม Ferrari ที่สุดท้ายแล้วนำไปสู่การพัฒนารถแข่งรุ่นต่อมา Ferrari 312/T ที่ควบทะยานเข้าเส้นชัยได้ในการแข่งขันที่โมนาโก, เบลเยียม, สวีเดน, ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา
นิกิ เลาดา กลายเป็นแชมป์โลกคนใหม่ของการแข่งขันเอฟวัน และพา “ม้าลำพอง” กลับคืนสู่สถานะความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
แต่ในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้กลับไม่มีความพิเศษอะไรสำหรับตัวของนิกิ ที่มองว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ ถึงขั้นเอาถ้วยรางวัลที่ล้ำค่าเหล่านี้ไปขอแลกกับการล้างรถฟรี
ในปี 1976 นิกิ ยังคงกวาดแชมป์ได้เป็นว่าเล่น เขาเข้าเส้นชัยขึ้นโพเดียมได้ถึง 5 เรซและถูกคาดหมายว่าจะคว้าแชมป์โลกมาครองได้อีกสมัยอย่างง่ายดาย
จนกระทั่งวันแห่งโชคชะตามาถึง
ในการแข่งขันเยอรมัน กรังด์ ปรีซ์ ที่สนามนูร์เบิร์กริง เขาประสบอุบัติเหตุรุนแรงในสนาม อุบัติเหตุที่ไม่ต่างจากการปรากฏกายของยมทูตที่มาพร้อมกับคมเคียวที่กำลังจะเกี่ยวกระชากวิญญาณของเขาออกจากร่างอยู่แล้ว
แต่อาร์ตูโร เมร์ซาริโอ อดีตนักขับของเฟอร์รารี ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 นักขับที่หยุดรถเพื่อช่วยเหลือนิกิ ใช้ความคุ้นเคยสามารถกดปุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยและทำให้ดึงร่างที่ไร้สติของนิกิออกมาจากซากรถม้าลำพองที่กำลังลุกเป็นเพลิง
มันเป็นทางแยกระหว่างความเป็นและความตายที่ห่างกันเพียงแค่หลักเสี้ยววินาที
นิกิ ยอมรับในเวลาต่อมาว่าเขาสูญเสียความทรงจำในช่วงก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุ และ 20 นาทีหลังเกิดเหตุ
เขายังสูญเสียใบหูและเสียโฉมจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ของรถ หนังตาของเขาก็เช่นกันที่ต้องใช้เนื้อส่วนหูมาเย็บแทนให้ นั่นเพราะในช่วงที่ประสบเหตุนั้นรุนแรงมากจนหมวกกันน็อกของเขากระเด็นออกไป และทำให้ไฟคลอก
แต่ความเสียหายที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นที่ปอดของเขาซึ่งสูดเอาควันพิษเป็นจำนวนมากที่เกิดจากไฟเบอร์กลาสและน้ำมันที่ถูกเผาไหม้เข้าไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นทำให้อย่าว่าแต่การกลับมาลงแข่งขันอีกครั้งเลย แค่การที่เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ของปาฏิหาริย์อีกทอดแล้ว
ในช่วงที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แพทย์ที่ให้การรักษาได้ติดต่อขอให้บาทหลวงมาทำการสวดส่งวิญญาณแล้วด้วยซ้ำ
เขาบอกถึงช่วงเวลานั้นว่า “ตอนที่ผมไปถึงโรงพยาบาล มันเหนื่อยมากจนอยากจะหลับ แต่คุณรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่การนอนหลับแบบนั้น มันคืออีกเรื่องเลย”
แต่ความบ้าคลั่งที่สุดคือการที่ไม่เพียงแต่เขาจะรอดชีวิตได้อย่างเหลือเชื่อ เขากลับทำให้ทุกคนตะลึงด้วยการกลับมาลงแข่งขันได้อีกครั้งภายในระยะเวลาเพียงแค่ 6 สัปดาห์หลังจากเกิดเหตุการณ์ โดยที่บาดแผลร้ายแรงจากไฟคลอกยังคงไม่หายดีด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันอาจทำให้คนธรรมดาขยาดการอยู่หลังพวงมาลัยไปอีกครั้งเลยก็ได้ ความจริงนิกิเองก็ยอมรับว่าเขาก็ขวัญผวาอยู่เหมือนกัน แต่เขาเชื่อว่าการกลับมาแข่งอีกครั้งคือหนทางที่จะทำให้เขาเอาชนะความเจ็บปวดเหล่านี้และมีชีวิตต่อไป
“เราต้องสู้กับสมองของตัวเอง มันจะมีเสียงในหัวของเรา เราได้ยินเสียงนั้นและพยายามฟังว่ามันกำลังบอกอะไรเราอยู่ เราพยายามจะทำให้สมองทำงานเพื่อให้ร่างกายสู้กับความเจ็บป่วยได้ ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีทีเดียวที่ผมทำแบบนั้น เพราะมันทำให้ผมรอดชีวิตมาได้”
สนามแรกที่เขากลับมาคือที่มอนซาในรายการอิตาเลียน กรังด์ปรีซ์
ท่ามกลางการตกตะลึงของเพื่อนนักขับและสื่อ นิกิ พยายามทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาโอเค พร้อมสำหรับการแข่งขัน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วบาดแผลยังทำให้เขาเจ็บปวดมากแทบจะบ้า และความกลัวยังทำงานกับจิตใจอยู่เสมอ
“ผมบอกในเวลานั้นรวมถึงในเวลาต่อมาว่าผมต้องเอาชนะความกลัวให้ได้เร็วที่สุด แต่มันเป็นเรื่องโกหก”
คำโกหกนั้นเพียงแค่ปกปิดไม่ให้คู่แข่งรู้ว่าเขายังอ่อนแอแค่ไหน แต่หากมันจะเป็นการหลอกตัวเองด้วย ก็ถือว่าเป็นการหลอกตัวเองที่ได้ผลอย่างมหัศจรรย์
ถึงจะต้องสวมหมวกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เขาต้องเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหวในระหว่างการแข่งขัน ดวงตาของเขายังคงอักเสบทำให้มีน้ำตาคลอตลอดเวลาจนวิสัยทัศน์ในการมองเห็นลดลงอย่างมาก และเลือดยังคงไหลออกจากผ้าพันแผลของเขาที่ทำจากผ้าวัสดุที่กันไฟ แต่นิกิ กลับสามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 4 ได้อย่างเหลือเชื่อ
เมื่อจบการแข่งขันเรซนี้ นิกิ ลุกออกจากค็อกพิทของรถโดยมีเลือดไหลซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งสยดสยองยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเขาพยายามถอดผ้าพันแผลของเขาออกทำให้สะเก็ดแผลลอกติดออกมาด้วย
แต่นี่แหละคือนิกิ นักขับที่บ้าคลั่งที่สุด ก่อนที่เขาจะขับเคี่ยวกับเจมส์ ฮันต์ ที่กลายเป็นการขับเคี่ยวของสองสุดยอดนักขับแห่งยุคสมัยที่ได้รับการจดจำ และเป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ “Rush” (2013) หนึ่งในหนังรถแข่งจากเรื่องจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
อย่างไรก็ดี บทเรียนสำคัญที่สุดของนิกิ ที่เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ถูกเคียวของยมทูตเกี่ยวที่คอคือการรู้จัก “ขีดจำกัด”
ย้อนกลับไปในวันก่อนเกิดเหตุ เขาเป็นหนึ่งในคนที่เสนอให้เลื่อนการแข่งขันที่นูร์เบิร์กริงเสียเพราะสภาพสนามไม่ปลอดภัยสำหรับการทำการแข่งขัน ปัญหาคือในการแข่งเอฟวันในยุคสมัยนั้นไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องความปลอดภัยของนักแข่งมากนัก ทีมและฝ่ายจัดการแข่งขันทุ่มเงินไปกับการพัฒนารถแข่งให้เร็วที่สุดอย่างเดียว
สถิติที่น่าสยดสยองคือจนถึงปี 1976 มีนักแข่งรถที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในสนามมากถึง 63 คน หรือเฉลี่ยแล้วจะมีนักแข่งตาย 2 คนในแทบทุกฤดูกาล
ในการแข่งขันสนามสุดท้ายของฤดูกาล 1976 ที่สนามฟูจิ เซอร์กิต ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งแม้ว่าจะขับขี่ได้ดีและขึ้นนำก่อนด้วยมีโอกาสที่จะเฉือนเอาชนะเจมส์เพื่อนยากและคว้าแชมป์โลกได้อีกสมัยแล้ว แต่เขากลับตัดสินใจถอนคันเร่ง ส่งผลให้เจมส์ นักแข่งจากทีม McLaren คว้าแชมป์โลกไปครองแทน
การตัดสินใจของเขาครั้งนั้นทำให้เอ็นโซ เฟอร์รารี เดือดดาลจนแทบขาดสติ กล่าวหาว่าเขาเป็นคนทรยศ เรื่องราวบานปลายถึงขั้นคิดจะเปลี่ยนคนขับ ทำให้นิกิที่ก็ไม่พอใจเหมือนกันตัดสินใจแยกทางเพื่อไปอยู่กับทีม Bramham ของเบอร์นี เอคเคิลสตัน (และคว้าแชมป์โลกได้ในปีต่อมา เป็นการตอกหน้าเอ็นโซ เฟอร์รารีอย่างเจ็บแสบ)
แต่สำหรับคนอีกมากมายมองว่าการตัดสินใจที่จะหยุดของนิกิในเวลานั้นคือความกล้าหาญที่แท้จริง
ไม่มีการแข่งใดหรอกที่คุ้มค่าพอที่จะแลกมาด้วยความเป็นและความตาย
เขารู้ดีกว่าใครในเรื่องนี้
- นิกิ เลาดา ประกาศอำลาวงการไปครั้งหนึ่งในปี 1979 แต่กลับมาลงแข่งขันอีกครั้งก่อนคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 ซึ่งเป็นสมัยสุดท้ายได้ในปี 1984 กับทีม McLaren
- ในช่วงที่เลิกแข่ง เขาหันไปทำธุรกิจสายการบิน Lauda Air แต่ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในแวดวงรถแข่งเอฟวันเสมอ รวมถึงการเป็นหัวหน้าทีม Jaguar ในปี 2001
- นิกิ เลาดา จากไปอย่างสงบในปี 2019 ที่โรงพยาบาลในกรุงซูริก โดยก่อนหน้านั้นเคยผ่าตัดเปลี่ยนปอดและไตมาแล้วอย่างละ 2 ครั้งด้วยกัน