×

The Long Walk บ่มีวันจาก การเดินทางอันยาวนานของบ่วงกรรมที่ไม่อาจลบเลือนด้วยกาลเวลา

20.08.2022
  • LOADING...
The Long Walk

**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ The Long Walk บ่มีวันจาก**

 

The Long Walk บ่มีวันจาก คือผลงานภาพยนตร์ทริลเลอร์-ไซไฟ ของผู้กำกับหญิงชาวสปป.ลาว แมตตี้ โด ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกอนาคตในปี ค.ศ. 2065 เมื่อเทคโนโลยีเดินทางมาถึงจุดที่มนุษย์ทุกคนถูกฝังชิปลงภายในต้นแขนแทนการใช้บัตรประชาชน เพื่อเอาไว้ยืนยันตัวตนและสแกนจ่ายเงินออนไลน์ในชีวิตประจำวัน

 

ถึงความเจริญก้าวหน้าจะมากเพียงใด แต่ในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลยังคงหลงเหลือความเชื่อและวัฒนธรรมอยู่ อีกทั้งความศิวิไลซ์ที่ควรจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีก็ไม่ได้เข้าถึงพวกเขาทั้งหมดซะทีเดียว หลายชีวิตยังคงต้องดิ้นรนอย่างยากลำบาก บ้างก็หาเช้ากินค่ำ บ้างก็ควานหาเศษเหล็กตามป่าเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ทำให้ภาพชนบทที่ถูกสะท้อนออกมาภายในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ได้ต่างอะไรกับนิยามของคำว่าชนบทอันโหดร้ายที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันเลย

 

แม้ภาพยนตร์จะไม่ได้บอกกล่าวว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหนอย่างชัดเจน แต่จากหลายสิ่งหลายอย่างที่ประกอบรวมกัน ทั้งภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อเรื่องการไหว้ผีสางบรรพบุรุษ หรือกระทั่งเรื่องญาณทิพย์ของผู้ที่มองเห็นวิญญาณ ก็ทำให้เราสามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากเย็นว่าเซ็ตติ้งของเรื่องนั้นคงหนีไม่พ้น ประเทศ สปป.ลาว ของตัวผู้กำกับเอง

 

 

ภาพยนตร์จะเปิดมาที่ภาพของชายแก่คนหนึ่งกำลังควานหาอะไรบางอย่างอยู่ในป่า ก่อนที่ภาพยนตร์จะค่อยๆ พาเราเข้าไปพบกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เหยื่อส่วนใหญ่ล้วนเป็นหญิงสาวในหมู่บ้าน โดยที่ตัวเขา (ชายแก่) ได้ถูกชักชวนจากตำรวจให้มาช่วยกันสืบคดีและไขปริศนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เนื่องจากได้ยินข่าวลือว่าชายแก่สามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของคนตายได้ ถึงกระนั้นเขากลับปฏิเสธตำรวจโดยแทบจะไม่มีความลังเลในทันที ก่อนที่จะกลับไปควานหาเศษเหล็กมาขายเพื่อประทังชีวิตต่อ

 

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ผู้กำกับอย่าง แมตตี้ โด ทำให้เรา ‘เชื่อ’ ว่าชายแก่คนนี้เป็นเหมือนผู้นำทางของวิญญาณให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด ด้วยการพาไปชำระล้างร่างกายและประกอบพิธีศพไว้หลังสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง พร้อมกับบอกว่าการอยู่ที่นี่จะทำให้พวกเธอไม่ต้องพบเจอกับเรื่องเจ็บปวดเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

 

แต่ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความไซไฟผสมโรงอยู่ ทำให้การสืบค้นเรื่องราวต่างๆ ที่ควรจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่ใครหลายคนคุ้นเคยถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นเรื่องราวการเดินทางย้อนเวลากลับไปยังอดีตเมื่อ 50 ปีก่อน เพื่อพบกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในบ้านเพิงไม้คล้ายกับตัวของเขา คนดูจึงเดาได้ไม่ยากว่านี้เป็นการย้อนเวลากลับมาเพื่อพบกับตัวเองในอดีต ตอนที่เขาได้เห็นวิญญาณและรู้จักกับ ‘ความตาย’ เป็นครั้งแรก

 

 

และกลไกที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นคือ หญิงสาวที่ตัวเอกในวัยเด็กได้พบเป็นครั้งแรกตอนที่เธออยู่ในสภาพบาดเจ็บเจียนตายกลางป่า แต่สิ่งที่ตัวเขาในวัยเด็กทำคือการเลือกที่จะไม่บอกกล่าวอะไรกับใครอื่นและปล่อยให้หญิงสาวตายไปต่อหน้า จากนั้นจึงพาศพของเธอไปฝังเอาไว้หลังสวนดอกไม้อย่างเงียบๆ เหมือนกับที่เราเห็นในตอนต้นเรื่อง

 

ทำให้หญิงสาวที่ว่าเป็นเหมือน ‘บ่วงกรรม’ ในรูปแบบของเจ้ากรรมนายเวร ที่ในเวลาต่อมาเธอจะกลายเป็นคู่หูที่พาเขาเดินทางไปยังช่วงเวลาต่างๆ แต่ถึงกระนั้น เธอเองก็เป็นกุญแจสำคัญที่กุมความลับของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

 

หญิงสาวจึงเป็นเหมือนตัวแทนของ ‘บาป’ ที่ไม่อาจลบเลือนด้วยกาลเวลาของชายแก่ แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะผ่านมานานถึง 50 ปีแล้วก็ตาม แต่เธอนั้นยังคงยึดติดอยู่กับเขาไม่ยอมจากไปไหน บางทีความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอและชายแก่อาจเป็นสิ่งที่อธิบายถึงนิยามของชื่อเรื่องอย่าง บ่มีวันจาก ได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุด

 

 

จนภาพยนตร์ขยับเข้าไปยังองก์ที่ 2 ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวในช่วงวัยเด็กอันยากลำบากของชายแก่ที่เขาต้องเผชิญกับพ่อขี้เมาที่มักจะทุบตีผู้เป็นแม่อยู่ตลอด อีกทั้งเธอยังป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาในยุคนั้น ทำให้ไม่สามารถทำงานหนักได้

 

จนวันหนึ่งพ่อของเขาก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อไปทำงานที่เมืองหลวงและไม่หันหลังกลับมาอีก ทำให้เด็กน้อยต้องคอยดูแลผู้เป็นแม่อยู่ตามลำพัง ก่อนที่ตัวเขาในร่างชายแก่จะย้อนเวลากลับมาเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างกับผู้เป็นแม่ของตัวเอง ด้วยความคิดที่ว่าการปลดปล่อยเธอนั้นย่อมดีกว่าการที่ต้องคอยมีชีวิตอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน

 

แต่นั่นหาใช่ทางออก กลับกันมันคือการสร้างบาดแผลหยั่งลึกไว้ให้กับตัวเขาในวัยเด็ก จนภาพยนตร์ค่อยๆ เฉลยว่าแผลนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เพราะความเชื่อของชายแก่ในอนาคตได้สร้างตัวเขาที่เต็มไปด้วยความอำมหิตในอดีตขึ้นมา

 

และชายแก่ในเส้นเวลาอดีตนั้นก็ได้จับหญิงสาวมากมายมากักขังเอาไว้เพื่อเติมเต็มความรักที่ขาดหายไปจากผู้เป็นแม่ ก่อนที่จะปลิดชีพพวกเธอทิ้งและนำไปฝังไว้หลังสวนดอกไม้ที่เป็นเหมือนสถานที่แห่งความทรงจำระหว่างตัวเขาและผู้เป็นแม่ จนเรื่องราวเหล่านั้นได้มาบรรจบกันกลายเป็นคดีฆาตกรรมหญิงสาวในหมู่บ้านที่ถูกกล่าวถึงในช่วงต้นของภาพยนตร์

 

 

และเมื่อภาพยนตร์ได้ดำเนินมาถึงองก์ที่ 3 ปริศนาทั้งหมดก็ถูกไขกระจ่าง ความผิดพลาดของเขานั้นได้ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมต่างๆ มากมายตามมา ชายแก่จึงได้ตัดสินใจยุติทุกปัญหาและความรู้สึกผิดบาปทั้งหมดด้วยการปลิดชีพตัวเองในวัยเด็ก เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้น

 

แม้ชายแก่จะพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำลงไปมากแค่ไหน ‘บาป’ ที่เขาเป็นคนก่อก็ไม่มีวันจางหายไป และชายแก่ก็ไม่มีวันวิ่งหนีจากความรู้สึกผิดนั้นได้เช่นกัน เมื่อทุกอย่างเป็นวัฏจักรที่เคยเกิดขึ้นมาหลายร้อยหลายพันครั้ง และบทสรุปของมันก็มักจะย้อนวนกลับมาในทิศทางเดิมเสมอ

 

 

ซึ่งในระหว่างทางที่วัฏจักรนั้นกำลังดำเนินอยู่ ผู้กำกับอย่าง แม็ตตี้ โด ก็ได้ทิ้งรายละเอียดที่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องอยู่ตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นฉากตู้กระจกแตกหรือกระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการที่บุหรี่ไฟฟ้าได้กลายเป็นบุหรี่มวนปกติเนื่องจากผลกระทบของการย้อนเวลา

 

นอกจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เปลี่ยนไปตลอดเส้นทางของการย้อนเวลาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นการหยิบยกเอาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อย่าง ทฤษฎีบิดเบือนมิติเวลา (Time Looper) และทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) มาใช้ในภาพยนตร์ได้อย่างชาญฉลาด จนคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ดูเหมือนจะถูกพัดกระจัดกระจายอยู่ตลอดทั้งเรื่อง จะสามารถนำมาขมวดกันจนกลายเป็นเรื่องราวอันหนึ่งอันเดียวที่สร้างทั้งความตกตะลึงและน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน

 

อีกทั้งการเล่นกับความเชื่อของศาสนาพุทธอย่างการ ‘เวียนว่ายตายเกิด’ และ ‘การชดใช้กรรม’ ของมนุษย์ ในรูปแบบของความไซไฟล้ำอนาคตก็ทำออกมาได้เหนือความคาดหมาย ทำให้เราได้ฉุกคิดและตีความไปต่างๆ นาๆ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ

 

อีกทั้งภาพสะท้อนถึงความอดยากแร้นแค้นของคนชนบทที่ต้องเอาชีวิตรอดในวันที่เทคโนโลยีเดินทางมาถึงจุดสูงสุด ก็ทำให้เราหวนตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วอดีตกับอนาคตอาจไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย ในเมื่อความเจริญไม่เคยพัฒนาความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว

 

 

และองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้นอกเหนือจากพล็อตเรื่องที่ดูแปลกตาไปจากภาพยนตร์ในแนวทางเดียวกันแล้วก็คือ ‘การลำดับภาพ’ ที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องราวในอดีตและอนาคตควบคู่ขนานกันไป รวมถึงผลพวงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่างๆ

 

แม้ในตอนแรกมันจะทิ้งคำถามและความงุนงงให้กับคนดูมากมาย แต่สุดท้ายภาพยนตร์ก็ตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างหมดจดและงดงามว่า ‘กรรม’ คือสิ่งที่ไม่อาจลบเลือนด้วยกาลเวลา และความรู้สึกผิดบาปจะไม่มีวันจางหายไปแม้ในวันที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม

 

สามารถรับชม The Long Walk บ่มีวันจาก ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising