×

The Last Full Measure ไม่มีผู้ชนะ ไม่มีผู้แพ้ เพราะ ‘ความสูญเสีย’ คือผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวที่เราได้จากสงคราม

06.10.2020
  • LOADING...
The Last Full Measure ไม่มีผู้ชนะ ไม่มีผู้แพ้ เพราะ ‘ความสูญเสีย’ คือผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวที่เราได้จากสงคราม

‘ความจริง’ ในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะดีหรือร้าย คือวัตถุดิบสำคัญที่ดึงให้เรามีส่วนร่วมไปกับเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ได้เสมอ เช่นเดียวกับ The Last Full Measure วีรบุรุษโลกไม่จำ ภาพยนตร์สงครามที่จะพาเราไปรับชมเรื่องราวของ วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์ วีรบุรุษสงครามผู้ช่วยชีวิตเพื่อนทหารกว่า 60 ชีวิตในสงครามเวียดนาม

 

 

โดยบอกเล่าวีรกรรมอันกล้าหาญของ วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์ (เจเรมี เออร์วิน) นายทหารพลร่มที่ออกเดินทางไปช่วยเหลือนายทหาร 60 ชีวิตออกจากสนามรบ ท่ามกลางสงครามเวียดนามที่กำลังปะทุขึ้นในปี 1966 แต่หลังจากสงครามสิ้นสุด วีรกรรมของเขากลับถูกปกปิด และไม่มีใครรับรู้ถึงการเสียสละครั้งนั้นอีกเลย

 

จนเวลาผ่านไป 32 ปี ทหารผ่านศึกซึ่งเป็นเพื่อนร่วมภารกิจของพิตเซนบาร์เกอร์ ได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือกับ สกอตต์ ฮัฟฟ์แมน (เซบาสเตียน สแตน) นายกกระทรวงกลาโหม เพื่อขอเสนอชื่อให้พิตเซนบาร์เกอร์ได้รับเหรียญเกียรติยศชั้นสูงสุดของอเมริกา สกอตต์จึงต้องออกเดินทางเพื่อสอบถามเรื่องราวของพิตเซนบาร์เกอร์จากเหล่าทหารผ่านศึกที่ถูกเขาช่วยชีวิต ซึ่งทำให้สกอตต์ได้พบเจอกับความลับบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเปิดโปงความจริง เพื่อกอบกู้เกียรติยศของพิตเซนบาร์เกอร์กลับคืนมา 

 

 

ครั้งแรกที่ได้เห็นตัวอย่างของ The Last Full Measure เราคาดเดาว่าจะได้เห็นฉากการสู้รบในสงครามเวียดนามอันดุเดือดเช่นเดียวกับภาพยนตร์สงครามเรื่องอื่นๆ แต่สิ่งที่เราได้รับคือการบอกเล่าเรื่องราวในทิศทางที่แตกต่าง จนทำให้รู้สึกว่านี่คือคือภาพยนตร์ดราม่าสุดเข้มข้นที่เน้นเรื่องราวของตัวละครมากกว่าฉากสงครามที่เต็มไปด้วยความสะใจ 

 

สิ่งที่เราประทับใจเป็นการส่วนตัว คือบทภาพยนตร์ที่ผู้กำกับอย่าง ทอดด์ โรบินสัน เป็นคนสร้างสรรค์ขึ้น เพราะทุกเรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านบทสนทนาระหว่างตัวละครหลักอย่าง สกอตต์ ฮัฟฟ์แมน และเหล่านายทหารผ่านศึก ล้วนเปี่ยมไปด้วยถ้อยคำอันลึกซึ้ง และทำให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจน โดยที่ภาพยนตร์ไม่จำเป็นต้องใช้ฉากแฟลชแบ็กด้วยซ้ำ

 

โดย สกอตต์ ฮัฟฟ์แมน นายกกระทรวงกลาโหมจากเพนตากอน ซึ่งรับบทโดย เซบาสเตียน สแตน เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ชมที่จะพาเราร่วมออกเดินทางไปสำรวจวีรกรรมอันกล้าหาญของ วิลเลียม เอช. พิตเซนบาร์เกอร์ ผ่านการบอกเล่าของเหล่านายทหารผ่านศึกจากกองร้อยชาร์ลีที่ถูกพิตเซนบาร์เกอร์ช่วยชีวิตเอาไว้

 

ซึ่งเราต้องขอปรมมือให้กับเหล่านักแสดงรุ่นใหญ่ที่ถ่ายทอดทุกห้วงอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างลึกซึ้งทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

 

ทั้ง วิลเลียม เฮิร์ต ผู้รับบทเป็นเพื่อนร่วมหน่วยทหารพลร่มของพิตเซนบาร์เกอร์ที่เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากฮัฟฟ์แมน, คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ผู้รับบทเป็นพ่อของพิตเซนบาร์เกอร์ที่ถ่ายทอดความผูกพันและความโศกเศร้าของพ่อผู้สูญเสียลูกชายจากสงครามออกมาได้อย่างกินใจ รวมถึง เอ็ด แฮร์ริส, จอห์น ซาเวจ และ ซามูเอล แอล. แจ็กสัน ผู้มารับบทเป็นทหารผ่านศึกที่พิตเซนบาร์เกอร์ช่วยชีวิตไว้

 

ในขณะเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ได้ดู The Last Full Measure เรายังสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวละครอย่างฮัฟฟ์แมน ที่ค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวอันกล้าหาญของพิตเซนบาร์เกอร์ เช่นเดียวกับผู้ชมอย่างเราที่ร่วมออกเดินทางไปพร้อมกับเขาตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

นอกจากเรื่องราวอันกล้าหาญของพิตเซนบาร์เกอร์ที่ถูกปกปิดมานานกว่า 32 ปี The Last Full Measure ยังทำหน้าที่ของภาพยนตร์ที่สะท้อนภาพความโหดร้าย และเจ็บปวดของสงครามออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

 

โดยเฉพาะการบอกเล่าผ่านบทสนทนาระหว่างตัวละคร ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังนั่งฟังเรื่องราวอันขมขื่นจากเหล่าทหารผ่านศึกอยู่ข้างๆ ตัวละครหลักอย่างฮัฟฟ์แมน

 

ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้เราเห็นว่า ‘ความสูญเสีย’ คือผลลัพธ์เดียวที่เราจะได้รับจาก ‘สงคราม’ มันจะไม่มีคำว่าชัยชนะหรือพ่ายแพ้ มีเพียงผู้รอดชีวิตและไม่รอดชีวิตเท่านั้น 

 

สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ผ่านทาง

 

 

ภาพประกอบโดย

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising