ภาพของ ไมเคิล จอร์แดน ที่ไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไปในพิธีการรำลึกถึง โคบี ไบรอันต์ ผู้เป็น ‘น้องชาย’ ที่ด่วนชิงจากไปจากโศกนาฏกรรมเป็นภาพที่ทำให้แฟนกีฬาที่ได้พบเห็นถึงกับหัวใจหล่นตามไปด้วย
เพราะนั่นคือจอร์แดนในแบบที่เราไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน มันคือน้ำตาของนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลที่เป็น ‘ผู้ชนะ’ และเราไม่ค่อยได้เห็นเขาในมุมที่เป็นมนุษย์แบบนี้มากนัก
หรือความจริงแล้วเรา – ในความหมายถึงคนที่เกิดทันในยุค 90 ที่ชิคาโก บูลล์ส ครองความเป็นใหญ่ใน NBA – อาจจะเคยเห็นหรือลืมไปแล้ว
และนั่นเองที่ทำให้สารคดี The Last Dance คือสุดยอดสารคดีกีฬาที่ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของจอร์แดนหรือไม่ จะเกิดทันยุคสมัยของบูลล์สไหม จะเคยสนใจกีฬาบาสเกตบอลมาก่อนหรือเปล่า คุณควรจะได้ดูสักครั้ง
การเต้นรำครั้งสุดท้าย
หัวใจหลักของ The Last Dance คือเรื่องราวของจอร์แดน และทีมชิคาโก บูลล์ส ของเขากับการไล่ล่าความสำเร็จในฤดูกาล 1997-98 ขวบปีสำคัญสำหรับพวกเขาทุกคน เพราะหากทำได้จะหมายถึงการที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันมาครองได้เป็นครั้งที่ 2
แต่มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะแม้จะคว้าแชมป์มาครองได้ 5 สมัยจาก 7 ฤดูกาลหลังสุด (ซึ่ง 2 ฤดูกาลที่หายไปคือช่วงที่จอร์แดนประกาศอำลาวงการบาสเกตบอลแบบช็อกโลกครั้งแรกในปี 1993 เป็นเวลา 18 เดือนพอดี) เหล่าสตาร์ภายในทีมต่างเริ่มมีอายุมากขึ้น หลายคนถูกมองว่าถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว
ไม่ใช่แค่จอร์แดน แต่ยังรวมถึงสกอตตี พิพเพน, เดนนิส ร็อดแมน, โทนี คูโคช, รอน ฮาร์เปอร์ และสตีฟ เคอร์ พวกเขาทำท่าจะไปไม่ไหวแล้ว แม้กระทั่งโค้ชอย่าง ฟิล แจ็กสัน เองก็ตกอยู่ใต้เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่เท่าก้อนเมฆเช่นกัน
จะไปต่อหรือพอแค่นี้แล้วสร้างทีมยุคใหม่? คือคำถามที่อยู่ในใจของ เจอร์รี ไรนส์ดอร์ฟ เจ้าของทีมในช่วงฤดูกาล 1996-97
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้แจ็กสันเรียกฤดูกาล 1997-98 ว่าเป็น The Last Dance การเต้นรำครั้งสุดท้ายของทีมชิคาโก บูลล์ส ชุดที่ – แม้แต่พิพเพนเองยังเชื่อว่าพวกเขา ‘ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์’ ของ NBA
สารคดี The Last Dance มีความยาวทั้งสิ้น 10 ตอน เต็มไปด้วยฟุตเทจเก่าๆ ไม่ใช่แค่ในฤดูกาลดังกล่าว แต่ยังย้อนกลับไปถึงในสมัยที่จอร์แดนถูกดราฟต์เข้าสู่ชิคาโก บูลล์ส ภาพของเกมรอบชิงชนะเลิศในสมัยแรกที่ MJ คว้าแหวน NBA วงแรกมาครองได้ เรื่องราวของเหล่าขุนพลข้างกายของเขา
หลายภาพหลากเรื่องราวถูกเก็บงำเอาไว้ตลอดช่วงระยะเวลา 23 ปีที่ผ่านมา เพราะจอร์แดนเชื่อว่ามันยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ออกมา
หรืออาจเป็นเพราะเขากังวลกับตัวตนที่แท้จริงของเขาที่จะถูกเปิดเผยออกมาก็เป็นได้
บรรยาย: เดนนิส ร็อดแมน (ซ้าย) และสตีฟ เคอร์ (หมายเลข 25) ขุนพลคู่ใจของจอร์แดน
กล่องความลับของ Jumpman
เจสัน เฮเฮียร์ ผู้กำกับสารคดี The Last Dance เล่าถึงวันที่เขาได้พบกับตำนานนักบาสเกตบอลที่ถูกจดจำในฐานะคนที่สามารถลอยค้างกลางอากาศได้นานกว่าคนอื่น
การพบกันที่สั้นกว่า 1 ชั่วโมง แต่นำไปสู่ผลลัพธ์ของสุดยอดสารคดีความยาว 10 ชั่วโมง
“ผมบอกกับเขาว่า ‘ทำไมคุณถึงอยากทำมันขึ้นมาล่ะ’ เขาตอบว่า ‘ผมก็ไม่ได้อยากหรอก’ ผมเลยบอกกับเขาว่า ‘ทำไมล่ะ?’” เฮเฮียร์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ได้คุยกับจอร์แดน และคำตอบที่ได้นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอยากทำสารคดีชิ้นนี้มากขึ้นไปอีก
“เมื่อผู้คนได้เห็นฟุตเทจเหล่านี้แล้วผมไม่แน่ใจเลยว่าพวกเขาจะสามารถเข้าใจได้ไหมว่าทำไมผมถึงจริงจังขนาดนั้น ทำไมผมถึงทำในสิ่งที่ผมกระทำลงไปในตอนนั้น ทำไมผมถึงแสดงออกแบบนั้น”
แม้กระทั่งจอร์แดนเองยังกลัวว่าผู้คนอาจจะเข้าใจเขาผิดว่าเขาเป็นคนที่เลวร้ายก็เป็นได้
โดยเฉพาะฉากที่เขาเองก็ไม่อยากจดจำอย่างการต่อยหน้าเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งในระหว่างการฝึกซ้อม
เพื่อนร่วมทีมคนดังกล่าวคือ สตีฟ เคอร์ พอยต์การ์ดของทีมที่ดูบุคลิกแล้วเป็นมนุษย์ธรรมดาที่สุดในบรรดาเหล่ายอดมนุษย์ที่เป็นขุนพลข้างกายของจอร์แดนโดยเฉพาะพิพเพน ฟอร์เวิร์ดอัจฉริยะ และร็อดแมนจอมรีบาวด์ที่ไม่มีใครคาดเดาอะไรกับเขาได้ทั้งนั้น
การจะยืนหยัดเคียงข้างจอร์แดนให้ได้นั้นไม่ใช่ว่าจะต้องเก่งเท่ากัน (เพราะไม่มีใครจะเก่งเท่าเขาอยู่แล้ว) แต่สิ่งสำคัญคือการที่ต้องมีหัวใจที่เข้มแข็งเท่าเทียมกันด้วย ต้องกล้าที่จะยืนหยัดในสถานการณ์ที่หัวใจถูกบีบคั้น ไม่อย่างนั้นก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แย
เคอร์ ซึ่งปัจจุบันคือโค้ชของโกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส สุดยอดทีมของยุคนี้และมี ‘ฮีโร่’ ของยุคสมัยอย่างสเตฟ เคอร์รี ยังจำเหตุการณ์ดังกล่าวได้ดี
“ผมไม่เห็นด้วยกับเขาอยู่ครั้งหนึ่ง ผมคิดว่าเขาต่อยผมเข้าที่หน้านะ”
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างการฝึกซ้อม ซึ่งเคอร์ทำในสิ่งที่จอร์แดนไม่ถูกใจ และกล้าที่จะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้นำของทีมบอก และ ‘ตั้บ’ กำปั้นของ MJ เข้าเต็มที่ใบหน้าของเพื่อนอย่างจัง
หลายครั้งสำหรับหลายคนการลงไม้ลงมือกับเพื่อนร่วมทีมอาจเป็นฉากสุดท้ายของความสัมพันธ์ แต่สำหรับเคอร์และจอร์แดนแล้วมันคือจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ฉันท์มิตรแท้ที่ยืนยงจนถึงปัจจุบัน
“มันคือหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม ผมจำเป็นต้องยืนหยัดและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขา ผมคิดว่าผมได้รับการยอมรับมากขึ้นนะ แต่เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานับตั้งแต่นั้น เราจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เขาเห็น และเมื่อเราพิสูจน์ให้เห็นแล้วเขาจะยอมรับว่าเราเจ๋งจริง”
ใน The Last Dance ยังมีเรื่องราวและเหตุการณ์แบบนี้ที่ถูกบันทึกเอาไว้อีกมาก เพราะมันเป็นขวบปีที่เข้มข้นที่สุด เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความขัดแย้ง รอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ และความเจ็บปวด
ฉากจบของ Dynasty ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เจอร์รี ครอส ผู้จัดการชิคาโก บูลล์สในยามนั้นบอกชัดเจนว่าฤดูกาล 1997-98 จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของทีมชุดนี้
เป็นจุดจบของ Dynasty ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เราต่างรู้จุดจบของเรื่องราวนี้ดี – พิพเพนถูกเทรดไปฮูสตัน ร็อกเก็ตส์, ร็อดแมนย้ายไปสร้างสีสันต่อที่แอลเอ เลเกอร์ส, ลุค ลองลีย์ เซ็นเตอร์ที่พึ่งพาได้ย้ายไปฟีนิกซ์ ซันส์, สกอตต์ เบอร์เรลล์ ย้ายไปนิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์, จัด บัชเลอร์ ไปดีทรอยต์ พิสตันส์
เคอร์ พอยต์การ์ดคนสำคัญจอมแม่น 3 คะแนนที่ก้าวขึ้นมาเป็นแบ็กอัพที่จอร์แดนไว้วางใจได้ย้ายไปซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส
ฟิล แจ็กสัน ขอยุติบทบาทกับทีม
และจอร์แดน ประกาศลาวงการเป็นคำรบที่ 2 หลังจากที่พาทีมคว้า Three-peat หรือการคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันได้เป็นรอบที่ 2
แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดคือเรื่องราวที่ถูกบันทึกเอาไว้โดย แอนดี ธอมป์สัน หนึ่งในตระกูลธอมป์สัน – ที่แม้จะไม่เคยมีแหวนแชมป์ NBA 3 วงเหมือน มิชาล ธอมป์สัน ที่เล่นเคียงข้างตำนานอย่าง เมจิก จอห์นสัน และคารีม อับดุล-จาบบาร์ หรือเคลย์ ธอมป์สัน ที่คว้าแหวนแชมป์มาครอง 3 วงเช่นกันในการเล่นกับวอร์ริเออร์ส – แต่อย่างน้อยที่สุดเขาคือคนที่เข้าใกล้ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลมากที่สุด
ธอมป์สัน ซึ่งเคยเล่นให้กับเลเกอร์สในยุค 80 ก่อนจะต้องเลิกเล่นเพราะอาการบาดเจ็บ ใช้ความพยายามในการทาบทาม อดัม ซิลเวอร์ ที่ต่อมากลายเป็นคอมมิสชันเนอร์ของ NBA ว่าพวกเขาควรจะมีทีมงานที่ติดตามถ่ายบูลล์สตลอดทั้งฤดูกาล 1997-98 ก่อนที่ทีมชุดนี้จะถูกยุบไป
“แค่บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์” ธอมป์สันกล่าว “ผมไม่ได้พูดถึงการทำสารคดีด้วยซ้ำ”
นั่นเป็นที่มาของฟุตเทจ 500 ชั่วโมงที่ถูกถ่ายทอดผ่านกล้องซูเปอร์ 16 มิลลิเมตร บันทึกเรื่องราวของตำนานบทนี้เอาไว้ใกล้ และชัดเจนที่สุดมากยิ่งกว่ายุคสมัยนี้ที่ทีมและนักกีฬาเป็นมิตรกับสื่อเสียอีก
และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้ฟุตเทจทั้งหมดถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้จอร์แดน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตัดสินใจที่จะนำฟุตเทจเหล่านี้ออกมาเผยแพร่
ไม่ว่าจะทำให้ภาพของ Jumpman ในความทรงจำของใครต่อใครแปดเปื้อนหรือมัวหมองหรือไม่
The Last Dance คือสารคดีมีชีวิตที่น่าติดตาม มันคือ 10 ชั่วโมงของประวัติศาสตร์ที่ถูกคัดกรองอย่างดีที่สุด
10 ตอนที่จะทำให้เราได้รู้และเข้าใจว่าเพราะอะไร ไมเคิล จอร์แดน จึงเป็นตำนานตลอดกาล
บอกได้เลยว่ามันมากกว่าแค่คำว่าพรสวรรค์มากมายนัก
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- www.nytimes.com/article/the-last-dance-jordan.html
- nba.nbcsports.com/2012/06/21/steve-kerr-recalls-the-time-jordan-punched-him-at-practice/
- sports.yahoo.com/documentary-director-michael-jordan-concerned-020742084.html
- www.theguardian.com/sport/2020/apr/19/michael-jordan-documentary-espn-the-last-dance-nba?CMP=Share_iOSApp_Other
- ในสารคดี The Last Dance ไม่ได้มีแค่เรื่องราวของจอร์แดน แต่ยังมีเรื่องราวของสกอตตี พิพเพน, เดนนิส ร็อดแมน และฟิล แจ็กสัน ที่น่าสนใจไม่แพ้กันด้วย
- สารคดีชุดนี้เดิม ESPN และ Netflix ตั้งใจที่จะปล่อยออกในช่วงการชิง NBA ในเดือนมิถุนายน แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันของการระบาดของโควิด-19 ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจขอออกอากาศในช่วงนี้แทน
- สารคดีชุดนี้คือสารคดีที่ ESPN ตั้งใจทำมากที่สุด เป็นสารคดีแห่งชีวิตทีมงานพวกเขาเช่นเดียวกัน
- ข่าวดีของแฟนชาวไทยคือสามารถติดตามชมได้ทาง Netflix แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่จะมีให้ชมสัปดาห์ละ 2 เอพิโสด (มีแปลไทยด้วยแต่…แนะนำให้ดูซับอังกฤษน่าจะดีกว่า)