×

ฟรีน สโรชา & เบ็คกี้ รีเบคก้า พรหมลิขิตสีชมพูทางการแสดง ที่เปี่ยมไปด้วยทฤษฎีจากชีวิตจริง

01.04.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 MIN READ
  • เรื่องไกลตัวในการแสดงของฟรีนคือการสวมบทเป็น CEO เธอจึงทำการบ้านด้วยตัวเองผ่านการศึกษาคนทำธุรกิจนี้ ตลอดจนดูซีรีส์แนวสตาร์ทอัพ ขณะที่เบ็คกี้ต้องทำความเข้าใจกับบทให้ถ่องแท้ เพราะเธอติดขัดทางด้านภาษาไทยบ้างประปราย แต่ความรู้สึกในฉากทำให้เธอเข้าใจตัวละครได้มากยิ่งขึ้น
  • เมื่อเอ่ยถึงเรื่องชุมชน LGBTQIA+ ที่ฟรีนและเบ็คกี้ได้มาสวมบทเป็นม่อนและคุณสามที่รักกัน เบ็คกี้มองว่า Everyone has the right to have love. ถ้าเราอยู่กับใครแล้วเรารู้สึก เราก็ควรสมควรได้อยู่กับคนคนนั้น ขณะที่ฟรีนรู้สึกว่ามันคือความรักที่ทุกคนควรมีสิทธิ์ในการที่จะรักใครสักคน และไม่จำเป็นที่จะต้องมาแยกชาย-ชาย หญิง-หญิง หรือหญิง-ชาย มนุษย์ทุกคนมีความรู้สึก มีความคิด มีทุกอย่าง มันคือสิทธิ์ที่ทุกคนควรที่จะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน 
  • ทฤษฎีสีชมพูในชีวิตจริงของฟรีนและเบ็คกี้คือสุนัขที่ชื่อ โทนี่ และ บอนบอน แม้ว่าสัตว์เลี้ยงของฟรีนจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความทรงจำเหล่านั้นเมื่อตอนเลี้ยงดูยังสวยงามภายในใจของพวกเธอ

แม้ว่าซีรีส์ ทฤษฎีสีชมพู GAP The series จะลาจอไปแล้วหลายสัปดาห์ แต่สองนักแสดงนำอย่าง ฟรีน-สโรชา จันทร์กิมฮะ และ เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง ยังคงตราตรึงอยู่ในใจบรรดาแฟนคลับไม่หายไปไหนแม้กระทั่งหน้าฟีดโลกโซเชียล กระทั่งปรากฏการณ์ #ฟรีนเบค ได้ถูกพูดถึงและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศรวมทั้งต่างชาติ 

 

กว่าที่ทั้งสองจะประสบความสำเร็จ ทุกอย่างล้วนเตรียมตัวมาอย่างเข้มข้นและละเอียดลออ ทั้งการฝึกนึกคิดแบบตัวละคร ศึกษาพฤติกรรม แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่อกันเพื่อให้เชื่อมโยงได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในฐานะพาร์ตเนอร์ เราต่างได้เรียนรู้กระบวนการเหล่านี้จากฟรีนและเบ็คกี้อย่างเข้มข้น และอดที่จะเอ่ยชมพวกเธอภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

THE STANDARD POP ขอพาทุกคนไปรู้จักกับพวกเขาทั้งสองผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ที่ทำให้เราได้เห็นถึงตัวตนของฟรีนและเบ็คกี้ในเวอร์ชันลุ่มลึกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมุมมองทางด้านการแสดง ตัวตนเบื้องหลังกล้อง การเติบโตในเส้นทางที่ถูกสนับสนุนอย่างอบอุ่น ทัศนคติต่อชุมชน LGBTQIA+ และเป้าหมายของสองสาวหลังจากนี้

 

 


 

จากผลงานล่าสุดอย่าง ทฤษฎีสีชมพู GAP The series ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ที่ได้รับบทนำ ตอนที่รู้ว่าได้รับบทเป็นคุณสามและม่อน ความรู้สึกแรกเป็นอย่างไรบ้าง

 

ฟรีน: ตอนแรกไม่รู้ว่าเขาคือใคร มันใหม่มากสำหรับเราทั้งคู่เลย เรารู้จักเขาคร่าวๆ จากการอ่านนิยาย มองว่าเขาโตมากๆ จนเราเชื่อว่าเราไม่สามารถเป็นเขาได้ขนาดนั้น ก็มีทั้งความกดดัน ความไม่เชื่อ แต่ก็ต้องทำการบ้านและศึกษาเขาพอสมควรเลยค่ะ

 

เบ็คกี้: ของเบ็คกี้ก็เหมือนกันค่ะ ม่อนคือใครนะ แต่เห็นจากหน้าปกนิยายแล้วเขาดูเป็นเด็กที่สดใส มีชีวิตชีวา เลยคิดว่าเราน่าจะทำได้ในส่วนนั้น แต่เราก็รู้ว่า GAP มีแฟนนิยายเยอะ เขาอาจจะมีอิมเมจที่วาดม่อนกับคุณสามไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่เราอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น เลยกดดันตรงนี้นิดหนึ่งว่าเราจะทำอย่างไรให้เป็นแบบนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็แค่เอาความเป็นตัวเองไปผสมกับม่อนค่ะ

 

ด้วยอายุที่ค่อนข้างต่างกันของตัวฟรีนและคุณสาม มีวิธีเตรียมตัวอย่างไรบ้างในการรับบทบาทนี้

 

ฟรีน: ตั้งแต่ตอนไพล็อตแรกได้ออนแอร์ออกไป แล้วในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ที่ได้ถ่ายทำไพล็อตเหมือนเราไม่ได้ศึกษามาเยอะมากเท่าที่ควรค่ะ ไพล็อตก็เลยออกมาเป็นแบบนั้น แล้วพอเจอกระแสที่เกิดขึ้นเราเลยได้ศึกษาและทำการบ้านเยอะมากๆ แล้วพอตัวละครเขาโตกว่าเราเยอะมาก เราก็เลยต้องหาแรงบันดาลใจ ต้องไปดูคนที่เขาทำธุรกิจว่าเขาทำกันอย่างไร คนที่อายุจะ 30 แล้วเขาทำอะไรกันบ้าง ก็ดูซีรีส์แนวสตาร์ทอัพอะไรแบบนี้ 

 

พอได้บรีฟจากผู้กำกับมาว่าซีรีส์จะเป็นประมาณนี้นะ จะเป็นเรื่องราวความรักของคนสองคน แต่อยู่ในเรื่องราวของการทำงาน เราต้องทำงานไปด้วยและเจออุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปด้วย เลยต้องศึกษาเยอะมาก ทั้งบุคลิก พื้นฐานครอบครัว โรงงานเป็นอย่างไร บริษัทเป็นอย่างไร เจอใครบ้าง มีหุ้นส่วนอย่างไร จึงได้ทำการบ้านเยอะมากเหมือนกันค่ะ

 

หลังจากได้ลองอ่านบท ทั้งคู่คิดว่าตัวเองมีความเหมือนหรือแตกต่างจากบทบาทของตัวละครที่ได้รับอย่างไรบ้าง

 

เบ็คกี้: เบ็คว่าเบ็คมีความเหมือนม่อนเยอะอยู่นะคะ เพราะว่าความสดใสของม่อนคล้ายเบ็คเลย แต่ก็คงมีปัญหาเรื่องอายุแหละ เพราะเราต้องโตขึ้นกว่าที่เป็น จะมีทั้งการพูดและการทำงาน ซึ่งเราต้องทำให้คนดูเชื่อว่านี่คือคนที่ทำงานในบริษัทนะ จะต้องทำอย่างไรให้เขาเชื่อว่านี่ไม่ใช่เด็กน้อย 2 คนมาวิ่งเล่นที่ออฟฟิศ แต่เราคือ Working Woman จริงๆ

 

ฟรีน: ของฟรีนคือต่างแบบสุดๆ ตอนแรกที่ไม่รู้จักเขาฟรีนยังคิดว่าเราจะเอาตัวเองไปเป็นเขาได้อย่างไร ไม่เชื่อว่าเราน่ะเหรอจะหน้านิ่ง จะต้องห้ามตลกเหรอ จะทำอย่างไรดีให้คนดูเข้าใจว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่แบบไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ก็ยากเลยแหละ เรียกได้ว่าต่างมากจริงๆ ค่ะ สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่สามารถเป็นฟรีนที่ทำให้คุณสามมีมุมที่น่ารักบ้าง ไม่ขรึมและไม่นิ่งเกินไปค่ะ

 

 

เคยอ่านคอมเมนต์ในแต่ละ EP. ตามโซเชียลต่างๆ ไหม มีคอมเมนต์ไหนที่ยังคงตราตรึงหรือถูกใจเรามากๆ บ้าง

 

ฟรีน: ชอบมากหมดเลย ตราตรึงใจทุกอันค่ะ หนูเห็นทุกอัน

 

เบ็คกี้: ใช่ค่ะ เราเข้าไปเล่นกับพี่ๆ แฟนคลับบ่อย เล่นเทรนด์ใน Twitter ด้วย เลยเห็นตลอดแบบเรียลไทม์เลย แล้วก็บอกพี่ๆ เขาอยู่เสมอค่ะว่าอยากแนะนำหรือให้ปรับตรงไหนก็บอกได้ พร้อมที่จะปรับปรุงค่ะ

 

ฟรีน: แล้วในซีรีส์เราจะมีสัญลักษณ์หรือฉากที่เราใส่ขึ้นไปเพิ่มใช่ไหมคะ แล้วแฟนคลับจับได้หมดเลย โยงอันนั้นอันนี้มาเชื่อมกันเหมือนเป็นผู้กำกับอีกคนเลย น่ารักมากค่ะ

 

รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อปรากฏการณ์ #ฟรีนเบค ได้เข้าถึงกลุ่มแฟนคลับเป็นจำนวนมาก และมีแต่คนรอสนับสนุนผลงานของทั้งสองเยอะมากขึ้น

 

เบ็คกี้: ไม่เคยคิดเลยค่ะว่าจะมีคนติดตามเยอะขนาดนี้ ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ แฟนคลับทุกคนที่สนับสนุนกันมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ หรือใครที่เพิ่งเข้ามาเป็นแฟนคลับเราก็คือครอบครัวเดียวกันอยู่ดี ทุกคนน่ารักมากจริงๆ ค่ะ เป็นกำลังใจที่ดีให้เบ็คในทุกๆ วันเลย

 

ฟรีน: ต้องเรียกว่าคือ Level up ค่ะ มันดีมากแล้วก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แฟนคลับทุกคนดีกับเรามากๆ แล้วก็มีจำนวนมากขึ้นในทุกๆ วัน ขอบคุณมากจริงๆ อย่างที่น้องบอกเลย เกินความคาดหมายของพวกเรามากๆ ไม่เคยคิดว่าคนจะรักเราเยอะขนาดนี้ แล้วผลตอบรับที่ได้มาไม่ใช่แค่ต่อฟรีน-เบ็คนะคะ แต่ทั้งผู้กำกับ เบื้องหลัง และทุกฝ่ายในการทำซีรีส์ ทุกคนมีกำลังใจหมดเลยที่มีคนรักเพิ่มมากขึ้น เหมือนทุกคนเห็นในความตั้งใจและความพยายามของเราที่เต็มที่กันมากจริงๆ ค่ะ

 

หลังจากที่มีผู้คนติดตามมากขึ้น จึงนำไปสู่การรับชม EP.12 ร่วมกันในงาน ทฤษฎีสีชมพู: The Debutante อยากทราบว่าความรู้สึกในตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างที่ได้เห็นผู้คนที่คอยสนับสนุนเรามากมายมาอยู่ตรงหน้า

 

ฟรีน: ตกใจตั้งแต่ตอนที่บัตรขายหมดเร็วมากๆ แล้วค่ะ ทำให้หนูคิดไปถึงวันที่เอพิโสดแรกจะออนแอร์ ตอนนั้นคิดว่าบัตรจะขายหมดหรือเปล่า ใครจะมาดูเรานะ พอมาถึงจุดนี้ที่ได้เห็นแฟนคลับทุกคนพร้อมกันเยอะๆ มันตื้นตันใจ แล้วก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่เรามีคนคอยสนับสนุนค่ะ

 

เบ็คกี้: ตอนที่รู้ว่าจะจัดงานที่สยามภาวลัย เราก็คิดว่าบัตรจะหมดหรือเปล่า เพราะมันใหญ่มากเลย แล้วพอวันจริงเห็นคนเต็มทุกที่ พอตอนปิดไฟทุกคนก็เปิดแสงจากโทรศัพท์ให้คือน้ำตาไหลเลยค่ะ

 

ฟรีน: ตอนสุดท้ายที่เพลง ทฤษฎีรักนี้สีชมพู จบแล้วทุกคนมายืนด้วยกันข้างหน้า ความรู้สึกฟรีนคือทำได้แล้วนะ We can do จริงๆ เราเก่งแล้วนะ

 

 

นิยามคำว่าความรักของทั้งคู่

 

ฟรีน: ตอบพร้อมกันเลยมา

 

ฟรีน, เบ็คกี้: Love is Love ค่ะ

 

ฟรีน: ทั้งฟรีนและน้องเรานิยามความรักเหมือนกัน อย่างส่วนตัวเราคือใช้ความรู้สึกทั้งหมด แต่เราก็มีเหตุผลในความรู้สึกแหละ เมื่อเรารู้สึกกับอะไร เรายินดีที่จะพุ่งไปข้างหน้าได้เลย แต่ถ้าไม่รู้สึกก็จะไม่พุ่ง ไม่เอาแล้ว

 

เบ็คกี้: อยากอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ คนที่ทำให้มีความรู้สึกว่าอยากเจออีก ทำไมเวลาผ่านไปเร็วจังตอนอยู่กับเขา แค่อะไรเล็กน้อยก็รู้สึกว่าเขาน่ารักจัง มันอยู่ที่ความรู้สึกเลยค่ะ

 

ในฐานะนักแสดงจากซีรีส์ Girls Love เรื่องแรกที่ได้ออกอากาศทางช่องสาธารณะ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง กดดันบ้างไหม และเตรียมตัวอย่างไร

 

ฟรีน: ฟรีนว่าเป็นเรื่องที่ดี มันคือการกระจายความรักที่ส่งต่อให้ทุกคนได้เห็นจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าเรื่องกดดันฟรีนจะกดดันเรื่องบทหรือกับตัวเองมากกว่า อย่างที่บอกว่าบทที่ได้ค่อนข้างโตกว่าเรา การได้ฉายในช่องสาธารณะเลยเป็นอะไรที่ดี เราได้ผู้ชมที่หลากหลายมากขึ้นตั้งแต่เด็กยันผู้ใหญ่เลย มีทั้งคุณพี่ คุณน้า คุณป้าที่ตามมางานต่างๆ ก็เคยเจอค่ะ

 

ทั้งคู่มีวิธีการรู้สึกเข้าถึงตัวละครคุณสามและม่อนที่เป็นตัวละครผู้หญิงสองคนรักกันอย่างไรบ้าง เรียนรู้ ศึกษา และมีเคล็ดลับอย่างไรในการแสดง

 

ฟรีน: ถ้าเรื่องตัวละครที่ได้ ฟรีนทำการบ้านค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าตัวซีรีส์ฟรีนมองว่ามันคือซีรีส์ประเภทไหนเลย รู้สึกว่าเราต้องการถ่ายทอดความรักของคนสองคนผ่านมุมมองของอีกคนที่เป็น CEO นะ อีกคนเป็นพนักงานนะ ผ่านบรรทัดฐานของ GAP ค่ะ ตามชื่อเรื่องเลย เหมือนเราก็เลยได้ทำการบ้านแค่เราต้องโตขึ้น เราต้องมีความสุขุม แล้วพื้นฐานครอบครัวคุณสามกับม่อนจะเห็นได้เลยว่าต่างกันมาก ครอบครัวคุณสามไม่ได้มีครอบครัวที่คอยสนับสนุน ต่างกับม่อนที่ครอบครัวอบอุ่น สนับสนุนทุกเรื่อง แต่คุณสามจะมีความอ่อนแอและเปราะบางอยู่ภายในจากความโดดเดี่ยว แต่ต้องส่งออกมาให้ผู้คนเห็นว่าเราเข้มแข็งนะ พวกเราเลยได้ทำการบ้านกับแบ็กกราวด์ลึกลงไปกว่าการที่จะต้องมานั่งคิดว่าฉันจะต้องมานั่งทำหน้านิ่งๆ อย่างเดียว ข้างในเราต้องเปราะบางจริงๆ 

 

เบ็คกี้: เราได้อ่านนิยายกันก่อนแล้วค่อยมาอ่านบท แล้วปูแบ็กกราวด์ว่าเพื่อนคนนี้เป็นแบบไหน พื้นฐานครอบครัวเป็นแบบไหนค่ะ อย่างเบ็คมีปัญหาเรื่องภาษาด้วย เพราะเพิ่งฝึกภาษาไทยไม่นานและบทยาวมากด้วย ตอนอยู่ที่ทำงานก็ต้องนำเสนองาน เถียงกับคุณสามก็เยอะ เลยต้องทำความเข้าใจกับบทมากๆ พอไปถึงในฉากเลยพูดตามความรู้สึกเลยค่ะ ไม่ต้องพูดตามบทเป๊ะก็ได้ เป็นความรู้สึกของเราเลยค่ะ

 

ฟรีน: เราเลยไม่ค่อยกดดันว่านี่คือแนว Girls Love นะ แค่ใช้ความรู้สึก ณ ตรงนั้นแล้วก็ไปตามความรู้สึกเลย

 

เคยติดนิสัยของตัวละครที่เราเล่นมาบ้างไหม ถึงผู้กำกับสั่งคัตไปแล้วแต่เรายังเอาอารมณ์นั้นออกไปไม่ได้

 

ฟรีน: ของฟรีนรู้ตัวเองแค่ตอนที่เล่นฉากที่ดราม่ามากๆ ตอนเอพิโสด 12 จะมีซีนที่คุณสามต้องอยู่ในบ้านคนเดียวแล้วให้หันไปมองม่อนที่อยู่นอกบ้าน มันเศร้ามาก เหมือนตอนนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เอพิโสดแรกวนอยู่ในหัว เศร้าจนเอาออกไม่ได้ ผู้กำกับสั่งคัตแล้วเรายังนั่งอยู่ที่เดิมแล้วก็ร้องไห้ต่อค่ะ

 

เบ็คกี้: (หันมาเสริมข้อมูล) แต่ที่พี่ฟรีนไม่รู้ตัวเองก็คือสมมติว่าเรานั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ถ่ายอยู่ แต่พี่ฟรีนจะนิ่ง ไม่เข้าไปเล่นกับใคร น่าจะซึมซับความเป็นคุณสามมามาก เพราะปกติพี่ฟรีนจะตลก จนเราต้องเข้าไปถามว่าพี่ฟรีนเป็นอะไร

 

ฟรีน: เราไม่รู้ตัวเองเลยนะว่าเป็นอย่างนั้น แต่บางทีเราอยู่กับบทจนไม่รู้ตัวว่าเราติดความเป็นเขาไปแล้ว แต่ของน้องพี่ไม่เห็นนะ มีแต่อารมณ์ดราม่าไหมที่เอาไม่ออก 

 

เบ็คกี้: ใช่ค่ะ แต่ถ้านิสัยที่ติดมาจากม่อนน่าจะเป็นความ Emotional ของตัวม่อน เราเป็นคนที่เซนซิทีฟนะ แต่พอมาเล่นเป็นม่อนคือมากขึ้นไปอีก เพราะม่อนร้องไห้แทบจะทุกตอนเลย เราเลยต้องเข้าถึงอารมณ์ต่างๆ มากขึ้น ตอนนี้เลยเซนซิทีฟต่อคำพูด ต่อทุกอย่างมากขึ้นกว่าเดิมมากๆ ค่ะ

 

 

พอมาถึงจุดนี้ อยากให้ลองถอดความสำเร็จของซีรีส์ทฤษฎีสีชมพู คิดว่าอะไรทำให้ซีรีส์ประสบความสำเร็จหรือได้รับความสนใจมากมายขนาดนี้ 

 

ฟรีน: ฟรีนว่ามันคืออะไรใหม่ๆ ที่ประเทศไทยยังไม่ค่อยมี และที่สำคัญคือเรารับฟังความเห็นของทุกคน ไม่ว่าเราจะโดนกระแสหรือแรงกระแทกอะไรมา แฟนคลับทุกคนก็ยังอยู่ข้างเรามาตลอด และช่วยเป็นกระบอกเสียงที่ดีมากสำหรับเรา เราเก็บทุกความเห็น ทุกคำติชมของทุกคนเอามาปรับปรุงตั้งแต่วันที่เราเจ็บ เราก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาใหม่ มันคือความทุ่มเทและความตั้งใจจริงๆ ในฐานะนักแสดงของเรา รวมถึงผู้กำกับและเบื้องหลังทุกคน เลยคิดว่าผู้ชมทุกคนคงได้เห็นตรงนี้ เราทุ่มเทและเต็มที่ในทุกๆ คิวจริงๆ จนมีคนมารอชมซีรีส์เราเยอะมากขึ้นทุกเอพิโสดค่ะ

 

เบ็คกี้: เหมือนเราได้ดึงซีรีส์ขึ้นไปด้วยกัน ตั้งแต่ในวันแรกที่เราล้ม เรารับฟังหมดเลย เพื่อที่จะค่อยๆ ไปสู่จุดที่ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน และด้วยเนื้อเรื่องที่น่าติดตามด้วย เราได้ดูไปพร้อมกับพี่ๆ แฟนคลับทุกคนตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้ายว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณสามและม่อนค่ะ

 

ในเอพิโสดสุดท้ายได้มีการปล่อยเพลง No More Blues ที่ทั้งคู่ได้ร้องออกมาในช่วงท้ายของเรื่องด้วย เรื่องราวระหว่างการอัดเพลงเป็นอย่างไรบ้าง มีความยากง่ายแค่ไหน

 

ฟรีน: สำหรับฟรีนยากค่ะ เพราะเป็นภาษาอังกฤษด้วย แล้วเราก็ไม่เป็นคนที่มีความมั่นใจในการร้องเพลงอยู่แล้ว พอรู้ฟรีนก็ทักไปบอกน้องว่าช่วยด้วยนะ พอไปถึงห้องอัดคือยากกว่าเดิมอีกค่ะ เพราะไม่ได้ร้องตามที่เคยได้ฟังมา เนื้อเพลงก็เปลี่ยนหน้าห้องอัดเลยก็มี พออัดพี่โปรดิวเซอร์เขาก็เปลี่ยนคีย์ให้เข้ากับเสียงเรา ซึ่งพี่เขาเก่งมาก มันเข้ากับเสียงพวกเรา และเพลงก็น่ารักมากค่ะ

 

เบ็คกี้: พี่โปรดิวเซอร์จะพยายามท้าทยเราในสิ่งที่เราคิดว่าทำไม่ได้ เขาจะชอบเอาโน้ตที่สูงขึ้นมาให้ เราก็จะแบบ พี่ฟรีนหนูจะร้องถึงเหรอ แต่พี่เขาก็ไม่ให้ออกจากห้องอัดจนกว่าจะทำได้ ซึ่งพอมาฟังเพลงเต็มๆ คือเพราะมากค่ะ

 

หลังจากได้ผ่านการได้ลองร้องเพลงและมีผลงานออกมาแล้ว ในจุดนี้ได้จุดประกายอะไรในตัวเราขึ้นมาไหมว่าอยากร้องเพลงอีกจัง หรือการร้องเพลงก็สนุกดีเหมือนกันนะ

 

ฟรีน: ของฟรีนคือการก้าวข้ามคอมฟอร์ตโซน เพราะเราไม่มีความมั่นใจในการร้องเพลงเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะร้องเพลงเพราะ เพราะฟรีนเชื่อว่าการที่เราร้องเพลงในห้องน้ำคือเพราะที่สุด (หัวเราะ) พอไปร้องเพลงจริงรู้สึกว่าเราก็ได้อยู่นะ

 

เบ็คกี้: แต่เบ็คชอบมากเพราะชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว มีความสุขมากค่ะที่ได้มาร้องเพลงในซีรีส์ ซึ่งตอนเด็กเราเคยฝันถึงขั้นอยากเป็นนักร้อง พอได้มาทำเลยรู้สึกว่าเราได้บรรลุเป้าหมายตรงนั้น (ยิ้มกว้าง)

 

ตลอด 12 เอพิโสดที่ผ่านมา ซีนที่ชอบที่สุดของทั้งคู่คือซีนไหน

 

ฟรีน: จริงๆ ชอบทุกฉากเลย แต่ซีนที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นซีนแต่งงาน ตอนสุดท้ายเลยที่สามารถพูดได้แล้วตอนนี้ เพราะซีรีส์จบแล้ว ไปดูกันได้เลยนะคะ เพราะใช้ความรู้สึกเยอะที่สุดเลย รู้สึกว่ามันพรั่งพรูออกมา ผู้กำกับบอกฟรีนว่าคุณสามจะร้องไห้ไม่ได้ เหมือนเขาจะติดนิสัยขรึมไว้ตลอด ไม่อยากโชว์ความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่พอวันที่ถ่ายงานแต่งงานทำให้เรารู้สึกว่านี่คือความสุข แล้วสามารถร้องไห้ได้ แล้วฟรีนก็ปล่อยออกมา มันคือความทรงจำที่สวยงามมากๆ สำหรับเราที่ได้มองเห็นคุณสามกับม่อน ณ วันนั้นรู้สึกว่าความรักสวยงามสุดๆ ไปเลย

 

เบ็คกี้: เป็นซีนแต่งงานเหมือนกันค่ะ วันที่เราจะถ่ายกันคือตื่นเต้นมาก เพราะเราว่าทุกคนแหละ ตอนเด็กๆ มันจะมีแบบ อยากแต่งงาน อยากใส่ชุดแต่งงานใช่ไหมคะ แล้ววันนั้นเบ็คก็ได้ใส่ชุดแต่งงาน ชุดสีขาวยาวลงมา แอบหนักนิดหนึ่ง แต่ว่าสวยมาก ชอบบรรยากาศในงานมากๆ พอเดินเข้ามามีเพลง แล้วพอถึงฉากได้พูดความในใจของม่อนแล้วคุณสามก็คือกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวเลย เหมือนมาปล่อยทุกอย่างตรงนี้ แล้วเราจะได้ไปใช้ชีวิตด้วยกันแล้วจริงๆ 

 

 

เมื่อซีรีส์จบลง เราสะท้อนได้ถึงแง่มุมของการทำงานและการพัฒนาตัวเองในด้านใดบ้าง

 

ฟรีน: มันคือความรับผิดชอบมากกว่า รู้สึกว่าวันหนึ่งเราถ่ายกันตั้งแต่ตี 5 ถึงเที่ยงคืน จะมีวันที่ไม่ไหวแล้วแต่ต้องไหว ต้องรับผิดชอบหน้าที่ตรงนี้ ต้องเป็นคุณสามให้ได้ ต้องเป็นม่อนให้ได้ เราจะมีความรู้สึก สาม-ม่อน สาม-ม่อน ทุกคนรอเราอยู่นะ เราต้องผ่านวันนั้นไปด้วยกัน เลยทำให้พอจบจากตรงนั้นฟรีนรู้สึกว่ามีความรับผิดชอบเยอะมากขึ้นในหน้าที่ทุกๆ อย่างเลย รู้สึกว่าในวันที่ไม่ไหวก็ต้องไหว ไหวจนถ้าจะเป็นอะไรก็เป็นไปเลย แต่ขอว่าอย่างไรเราก็ต้องทำให้ได้แบบสุดๆ ไปเลย

 

เบ็คกี้: จากตรงนั้นทำให้เราสู้ สู้มากขึ้นแบบสุดๆ แต่ก่อนอาจจะแค่นี้ก็ไม่เอาแล้ว งอแง แต่ว่าตอนนี้คือเราโตขึ้น เรามีความรับผิดชอบเยอะขึ้น มันคืองาน เราต้องทำงาน เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอันนี้คืองาน เราต้องตั้งใจ เราต้องโฟกัส เพราะโอกาสไม่ได้มาบ่อยๆ ค่ะ

 

เรื่องราวสนุกๆ ระหว่างการถ่ายทำ

 

ฟรีน: จริงๆ ก็สนุกทุกซีนแหละ แต่นึกถึงซีนหนึ่งที่ถ่ายที่บ้านคุณสาม ซีนที่จะต้องจัดเซ็ตเป็นงานอาร์ต ผู้กำกับเขาโชว์รูปภาพให้ดูว่านี่จะเป็นงานอาร์ตชิ้นหนึ่งแบบนี้นะ มจะเป็นรูปอาร์ตแบบนี้ แล้วพวกเราต้องไปเป็นคุณสามกับม่อนที่นอนอยู่บนเตียง แล้วตอนพี่เขามาจัดองศา ท่าทาง เราก็หลับกัน หลับแบบหลับจริงๆ ฟรีนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ณ เวลาที่เขาเซ็ต ณ ตอนนั้นกี่นาที กี่ชั่วโมงแล้ว เพราะพวกเราหลับจริง มันมีหลายมุมมาก มุมซ้าย มุมขวา มุมอะไรที่ต้องเป็นสี่เหลี่ยมแบบนี้ ห้ามขยับนะ ขา แขนต้องเป็นแบบนี้นะ ก็ทำให้หลับเลย หลับแบบตอนปลุกยังไม่ลุกเลยค่ะ

 

เบ็คกี้: มันจะมีซีนต่อมาที่พี่ฟรีนต้องจุ๊บ Morning Kiss 

 

ฟรีน: ใช่ ละเบ็คหลับจริง

 

เบ็คกี้: ละอันนี้หนูเพิ่งตื่นจริง

 

ฟรีน: คือหลับตั้งแต่ซีนก่อนหน้า แล้วซีนนี้ฟรีนต้องตื่นแล้ว ต้องมานั่งดูม่อนว่าตื่นหรือยัง คือหลับจริง แล้วก็เพิ่งตื่นจริง ก็ Good morning กันไปค่ะ

 

เบ็คกี้: แล้วหนูก็หลับต่อ 

 

หลังเดินทางกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่เริ่มออนแอร์ ความรู้สึกของทั้งคู่หลังได้ชม EP.12 เป็นอย่างไรบ้าง

 

ฟรีน: ร้องไห้ตั้งแต่เบรกแรกยันเบรกสุดท้ายเลยค่ะ รู้สึกว่ามัน Roller Coaster ยันตอนสุดท้ายจริงๆ ยันวินาทีสุดท้ายแล้วก็ยังมีอะไรที่มาทำให้เราเศร้า มาดึงเราขึ้นไปอีก แล้วก็เอาลงมาอีกแล้ว แล้วก็เอาขึ้นไปอีก

 

เบ็คกี้: วันนั้นเราก็นั่งด้วยกันตรงข้างบนสุด ตอนดูก็เรียกพี่ฟรีนๆ 

 

ฟรีน: พอมานั่งดูในโรงจอใหญ่ๆ แล้วรู้สึกว่ามัน Attack มากๆ มันหวาน ยิ่งใหญ่ แล้วเหมือนว่าเขาส่งให้เรารู้สึกอะไรจริงๆ แล้วตอนนั้นรู้สึกแบบแรงจังคุณสาม อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็นั่งจอยกัน แล้วพอถึงซีนจบแล้วเราไปยืนในชุดเจ้าสาวอีกครั้ง เราต้องออกไปร้องเพลงจบที่พวกเราพยายามกันมาเยอะมากๆ เลย อยู่ตรงนั้นหนูแทบจะร้องไห้เหมือนกัน ในที่สุดก็ถึงปลายทางในแบบที่มันควรจะเป็น

 

เบ็คกี้: มัน Finally Success แล้ว และทุกคนได้ Success ไปด้วยกัน ก็เลยน้ำตาไหลค่ะ

 

 

มุมมองต่อ LGBTQIA+ ในประเทศไทยหลังจากได้รับบทบาทนี้ มีความเหมือนหรือต่างจากเดิมอย่างไร

 

ฟรีน: ฟรีนมองเหมือนเดิมเลย ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าเราไม่เคยมองว่าเขาคือกลุ่มอันนี้ๆ นะ แต่มองเขาเป็นมนุษย์ที่เหมือนเราคนหนึ่ง เขาจะมีความรู้สึก ความคิด มีอะไรเหมือนมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นแบบเดียวกับเรา เลยรู้สึกว่ามันคือการถ่ายทอดความรักของมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน

 

เบ็คกี้: Everyone should be able to love. มันคือสิทธิ์ของคนคนหนึ่งที่เราสามารถมีได้ เราแค่ใช้ความรู้สึก ทำไมเราจะไม่สามารถมีความรักได้ รู้สึกว่า Your Body Your Right Your Choice ค่ะ

 

ฟรีน: ทุกคนสามารถเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ในชีวิต เลือกที่จะรักใครก็ได้ เลือกที่จะอยากเป็นอะไรก็ได้ เพราะว่านี่คือหน้าที่ของคุณ นี่คือสิทธิ์ของคุณ เพราะเราก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

 

เบ็คกี้ในฐานะที่เรียนด้านกฎหมาย อยากพูดอะไรถึง LGBTQIA+ บ้าง เล็งเห็นอะไรถึงเรื่องความรักของคนสองคน หลังจากที่ได้รับบทบาทเป็นม่อนที่รักคุณสามด้วยใจจริง

 

เบ็คกี้: เรามองว่า Everyone have the right to have love. ถ้าเราอยู่กับใครแล้วเรารู้สึก เราก็ควรได้อยู่กับคนคนนั้น ในคลาสเรียนของเบ็คเคยมีการพูดถึง Same Sex Married เพราะว่าเป็นประเด็นที่ตอนนี้ค่อนข้างจะมีคนพูดถึงเยอะมากๆ หลายประเทศยอมรับแล้ว แต่ว่าประเทศไทยยังไม่มีการยอมรับ แต่ถ้าผู้คนเริ่มเปิดใจขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งก็หวังว่าประเทศไทยจะมีการยอมรับในเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ

 

ในฐานะที่ฟรีนอายุมากกว่าเบ็คกี้ก็อาจจะมีประสบการณ์ตรงนี้มากกว่า ซึ่งเราที่เป็นนักแสดงที่ได้รับบทบาทของตัวละคร LGBTQIA+ มีความรู้สึกอยากเป็นกระบอกเสียงให้คนอื่นๆ และคอมมูนิตี้นี้อย่างไรบ้าง

 

ฟรีน: ฟรีนว่าฟรีนเป็นกระบอกเสียงมาตลอดตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นนักแสดงด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่ามันคือความรักที่ทุกคนควรมีสิทธิ์ในการที่จะรักใครสักคน และไม่จำเป็นที่จะต้องมาแยกชาย-ชาย หญิง-หญิง หรือหญิง-ชาย มนุษย์ทุกคนมีความรู้สึก มีความคิด มีทุกอย่าง มันคือสิทธิ์ที่ทุกคนควรที่จะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าเป็นเรื่องของกฎหมายที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ มันจะยิ่งใหญ่ มันจะครอบคลุมได้ทั้งหมด แล้วทุกคนก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขมากกว่านี้ ถ้ามันเกิดขึ้นได้จริงๆ

 

สิ่งที่ทั้งคู่คาดหวังหรือเป็นเป้าหมายที่ต้องการให้ผู้ชมได้รับจากซีรีส์เรื่องนี้

 

ฟรีน: ตอนแรกหนูแค่มองตัวเองในฐานะนักแสดงเฉยๆ ว่าเราจะต้องประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดงให้ได้ ถ้าจะต้องรับบทบาทที่แตกต่างจากคาแรกเตอร์ตัวเองขนาดนี้ เลยอยากให้เรา Success ในการเป็นคุณสามมากๆ ตอนแรกเราตั้งคำถามกับเขาเยอะมากๆ จนหนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคุณสามแบบนี้บนโลกจริงๆ หรือเปล่า มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ เหรอ เพราะว่าบางอย่างค่อนข้างที่จะท็อกซิกมากๆ เพราะถ้าเป็นฟรีน ฟรีนก็คงไม่อยากจะเจออะไรแบบนี้หรอก พอยิ่งมองไปเรื่อยๆ อยู่กับเขาไปเรื่อยๆ เลยทำให้หนูหลงรักเขาในทุกๆ วัน หนูเลยเริ่มเปลี่ยนมายด์เซ็ตของตัวเองว่าผู้ชมก็น่าจะได้เห็นมุมมองเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสื่อไปให้ในฐานะฟรีนที่รวมกับคุณสาม แล้วผู้ชมน่าจะได้เห็นและค่อยๆ รักตัวละครนี้ และตัวละครทุกตัวละครที่เราเป็นออกมา โดยที่เราผ่านการพยายามแล้วก็ทุ่มเทสุดๆ ค่ะ

 

เบ็คกี้: เหมือนกันค่ะ เราทำเต็มที่ในการเป็นม่อน อยาก Success ในการที่เป็นครั้งแรกที่เราได้รับบทนำ แล้วคือเราอยาก Success ในการใช้ภาษาด้วย ก่อนหน้านี้ที่ได้เล่นเรื่องอื่นๆ ภาษาไทยเรายังไม่แข็งแรงเลย แทบจะอ่านไม่ค่อยได้ พูดก็ไม่ค่อยได้ ตอนนี้ยังมีบ้างที่พูดจังหวะผิด ยังเรียงประโยคผิด แต่รู้สึกว่ามันคือการเรียนรู้แหละ เราอยาก Success ในแบบที่เราสามารถที่จะเล่นเป็นตัวละครนี้ได้แล้ว เราทำได้แล้ว 

 

 

ทฤษฎีสีชมพูให้อะไรกับเราทั้งคู่ และมีความหมายอย่างไร

 

ฟรีน: มันคือความทรงจำที่ดีที่สุดเลย สำหรับฟรีนคือรสชาติที่มีทั้งเค็ม เผ็ด เปรี้ยว หวาน ทุกอย่าง บางสิ่งก็ชอบ บางสิ่งก็ไม่ชอบ บางอย่างก็อร่อยดี บางอย่างก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น แต่ว่าคือความทรงจำที่ดีทั้งหมดในชีวิตของฟรีนเลย เรารู้สึกว่ามันคือจุดที่ทำให้เรานำพาเราไปที่ไหนสักที่หนึ่งได้ โดยที่เราไม่ต้องรู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วจุดหมายปลายทางของเราคือที่ไหน แต่เราก้าวไปกับมันเรื่อยๆ เพราะสิ่งนี้จะพาเราไปที่ใดสักที่หนึ่งแน่ๆ

 

เบ็คกี้: รู้สึกว่ามันคือความทรงจำที่น่าจะไม่มีวันลืมเลยในชีวิตนี้ คือ Best experience แล้วก็ Best time ทำให้เราโตขึ้นเยอะมากๆ ทำให้เรามองว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เรายังเป็นเด็กน้อยคนนั้นอยู่เลย แต่ว่าตอนนี้เราโตขึ้นมาเยอะมากๆ แล้วก็รู้สึกว่าได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ เยอะ และได้ประสบการณ์เยอะมากๆ ได้เจอพี่ๆ แฟนคลับทุกคนด้วยที่เขาได้มารู้จักเราในบทคุณสามและม่อน แต่ตอนนี้มารู้จักเราในฐานะฟรีนและเบ็คกี้ ก็ถือว่าเป็น Best memory เลยค่ะ

 

ทฤษฎีสีชมพูในชีวิตจริงของฟรีนและเบ็คกี้คืออะไร มีเรื่องราวหรือความทรงจำที่ประทับใจแบบตัวละครหรือไม่

 

ฟรีน: ฟรีนมีสุนัขตัวหนึ่งที่เคยเลี้ยงกับคุณย่าตั้งแต่เด็กเลยค่ะ ชื่อโทนี่ ณ ตอนนั้น น่าจะเป็นสุนัขตัวแรกที่เรารู้สึกว่ามันน่ารักมากๆ จนทุกวันนี้ฟรีนยังเก็บกระดูกที่มันแทะไว้อยู่เลย แล้วพอนึกถึงก็จะรู้สึกว่ามันน่ารักมากๆ ทำให้หัวใจฟูตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ เลยทำให้ฟรีนรักสุนัขมากๆ แล้วตอนที่รู้ว่ามันจากไป เลยทำให้หัวใจเราไม่ได้เป็นสีชมพูแล้ว แต่ว่าสุดท้ายมันก็จะเป็นสีชมพูที่อยู่ในใจฟรีนตลอดนั่นแหละ จนถึงวันนี้ก็เลยรู้สึกว่าโทนี่น่ารักจัง

 

เบ็คกี้: ของเบ็คก็คงเป็น บอนบอน เหมือนกัน บอนบอนเข้ามาตอนที่เราเครียดกับชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งที่มีความสีเทาในชีวิต แล้วบอนบอนก็เข้ามาทำให้เรามีความสุข ทุกวันเราอยากกลับบ้านไปเจอบอนบอน อยากกลับไปคุยกับบอนบอน อยากกลับไปเล่นกับบอนบอน เขาพูดกับเราไม่ได้นะ แต่เขามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกดี เขาคือทุกอย่างเลย แล้วมีวันหนึ่งเขาต้องไปผ่าตัดแล้วเราทำงานอยู่ แล้ววันนั้นเบ็คได้รับโทรศัพท์ว่าบอนบอนไม่ตื่นจากการที่ฉีดยาสลบ แล้วหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์วันนั้นคือเราดาวน์ไปเลย จนกระทั่งตอนเย็นๆ ได้ข่าวว่าเขาโอเคแล้วเราก็คือโอเค ก็เลยรู้สึกว่าเขามีผลกับชีวิตเรามากๆ ค่ะ

 

อยากให้ทั้งคู่ลืมภาพคุณสามและม่อน และลองคิดว่าถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับคุณสามและม่อน คิดว่าจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัวและกรอบของสังคมไทย จนสามารถแต่งงานกันได้ไหม

 

เบ็คกี้: ในฐานะที่เป็นเบ็คกี้นะ เบ็คคงมองว่า Try to love myself back แต่ไม่ใช่ว่าจะตัดขาดกับคุณสามไปตลอดชีวิตนะ แต่คงบินไปอังกฤษ ไปทำงาน ไป Success ตรงนั้น ถ้าสมมติว่าเขารักเราจริงๆ แล้วเราพยายามสำหรับเขามาเยอะมากๆ เราต้องอยู่กับความไม่ชัดเจนของเขามาเยอะ ถ้าเขารักเราจริงๆ เขาก็ต้องบินมาหา เขาก็ต้องมาตามที่อังกฤษ ต้องเห็นคุณค่าของเรา เราจะไม่รอคนคนหนึ่งยังตัดสินใจไม่ได้ไปตลอด ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เบ็คไปแล้วค่ะ ไปอังกฤษแล้ว

 

ฟรีน: มันยากมากเลยเนอะ แต่ว่าฟรีนเชื่อในความรักอะ ฟรีนว่ามันคือ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ทั้งความสุขหรือความทุกข์ แต่ถ้าเรารักกันมันจะไปด้วยกันได้ มันคือการจับมือกันแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดฉันก็จะผ่านไปกับเธอ ฟรีนยังเชื่อว่าถึงแม้วันหนึ่ง คนคนหนึ่งจะไม่เชื่อในความรักแล้ว แต่เรายังเชื่อในตัวอีกคนหนึ่งว่าเธอทำได้ แล้วคนนั้นเชื่อเรากลับว่า เออเธอก็ทำได้นะ ฟรีนว่ามันจะต้องไปถึงสิ่งที่เราอยากไปด้วยกันทั้งคู่ บางทีจุดมุ่งหมายของบางคนอาจจะไม่ใช่การแต่งงานก็ได้ มันคือการได้อยู่กับใครสักคนหนึ่งแล้วมีความสุขในชีวิตก็ถือว่า Success แล้ว แต่ว่าถ้าบรรทัดฐานคือการแต่งงาน แล้วเป็นไปตามกฎหมาย หรือเป็นไปตามประเพณีก็ได้ แต่ว่าถ้าคนสองคนสามารถผ่านไปด้วยกันได้ฟรีนว่าอย่างไรมันก็ไปด้วยกันได้

 

เบ็คกี้: มันก็ต้อง 50-50 แหละ อย่างที่ม่อนต้องรอคุณสามตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร จะเลือกใคร จะอะไรอย่างไร แต่จริงๆ ในใจม่อนก็อยากให้คุณสามเลือกหม่อมย่า ไม่อยากให้เลือกม่อน เราไม่อยากให้เขาต้องลำบาก เราเลยเลือกไปเองดีกว่า แต่ว่าเราก็จะเป็นม่อนที่จะอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อคุณสามต้องการ

 

ฟรีน: พอเป็นคุณสามก็ยากอีกค่ะ นี่ก็ย่า นี่ก็ม่อน

 

มีอะไรอยากพูดถึงคุณสามและม่อนไหม ในฐานะที่พวกเขาได้แต่งงานกันแล้ว

 

ฟรีน: ดีใจด้วยค่ะ ยินดีด้วยมากๆ เหมือนเราอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังไม่เริ่มรู้สึกกับใครเลย ยังมีกรอบในความรัก ยังไม่รู้ว่าจะมีใครคนหนึ่งในชีวิตเขาจริงๆ สักคนที่อยู่ข้างๆ เขาได้ไหม ก็เลยรู้สึกว่าดีใจด้วยนะที่วันนี้มีหนึ่งคนที่คอยอยู่ข้างๆ เธอ คนที่หันหลังมาก็เจอตลอด ถึงแม้ว่าจะมีวันที่เธออาจจะไม่ชัดเจน แต่คนนี้ยังอยู่ข้างเธอ รู้สึกว่าดีใจด้วยแล้วก็ภูมิใจในตัวเขามากๆ ที่กล้าตัดสินใจ กล้าออกมาจากความขี้ขลาด กล้าออกมาจากความอ่อนแอ ความเปราะบาง แล้วก็อยากบอกว่าร้องไห้บ้างก็ได้ ชีวิตมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก

 

เบ็คกี้: ดีใจด้วยนะคะที่ได้อยู่กับคนที่รัก รักแบบรักจริงๆ ม่อนน่าจะมีคนที่เข้ามาในชีวิตเยอะพอสมควรเหมือนกัน แต่ว่าม่อนเลือกที่จะรักคุณสามตลอด ดีใจด้วยที่สุดท้ายได้มีความรักในแบบที่ทำให้ม่อนมีความสุข ขอให้หลังจากนี้ไม่มีน้ำตาอีกเลย มีแต่รอยยิ้ม

 

 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากอาชีพนักแสดง

 

ฟรีน: ฟรีนรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นตัวของตัวเอง ในหน้ากล้องเราก็เป็นแบบนี้แหละ เราไม่อยากไปตัดสินตัวเองกับความคาดหวังของใคร ฟรีนเลยรู้สึกว่าอันนี้คือสิ่งที่เราภูมิใจในตัวเอง กับการที่เรานับถือการเป็นตัวเอง มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย และการตรงต่อเวลาค่ะ ค่อนข้างที่จะได้อะไรมาจากตรงนี้มาเยอะมากๆ พอสมควร เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เรามีเพื่อนร่วมงาน มีพี่ๆ ที่รอเราอยู่ แล้วทุกอย่างมันคือต้องไปด้วยกัน ต้องส่งไปด้วยกัน ฟรีนว่าตรงนี้ทำให้เราโตขึ้นมากๆ ด้วย

 

เบ็คกี้: มันทำให้เราโตขึ้น ทำให้เราเป็นคนที่มั่นใจมากขึ้นมากๆ ถ้าใครรู้จักเบ็คก่อนหน้านี้ก็คือเงียบๆ ไม่ค่อยพูด อาจจะไปนั่งคนเดียว อาจจะไม่ค่อยกล้าพูดความคิดเห็นสักเท่าไร แต่พอเราได้มาเป็นนักแสดงก็ต้องไปเจอผู้คน เข้าสังคม เราก็ต้องอยู่ให้ได้ ถึงอาจจะเป็น Out of Comford Zone นิดหนึ่ง แต่เราต้องทำให้ได้ เลยรู้สึกว่าเราโตขึ้น มันช่วยหลายๆ ด้านเลยนะคะ ไม่ใช่แค่การเป็นนักแสดง หรือการใช้ชีวิต แต่ในด้านการเรียนด้วย ในการที่เราเรียนกฎหมายทำให้เรามั่นใจเวลานำเสนองานในห้อง เวลาจะดีเบตกับเพื่อน ทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราทำได้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นค่ะ

 

สิ่งที่ทั้งคู่ได้รับหรือเรียนรู้จากกันและกัน

 

ฟรีน: หลังจากที่ได้ทำงานกับน้องเยอะมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าพื้นฐานการเป็นตัวของตัวเองแล้วก็การมีชุดความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะมาจัดความคิดของเราให้คนอื่นเข้าใจไปทุกเรื่องไม่ได้ แล้วเราก็เข้าใจเขาทุกเรื่องไม่ได้ เลยทำให้หนูรู้สึกว่าเราต้องคุยกันแล้วก็พยายามทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

 

เบ็คกี้: คุยกันสำคัญมากๆ เพราะว่าเราต่างคนอาจจะไม่ได้มีไลฟ์สไตล์เดียวกัน ไม่ได้ชอบสิ่งเดียวกัน คือเราจะบังคับคนนี้มาชอบสิ่งที่เราชอบไม่ได้ หรือพี่ฟรีนจะให้เราไปทำอะไรที่เราไม่ทำก็ไม่ได้ ต้องหาจุดตรงกลางที่เข้าใจกัน หรือถ้ามีวันไหนที่ไม่เข้าใจกันก็คือไม่ใช่วิ่งหนี แล้วไม่คุย ปิดไลน์ ปิดโทรศัพท์ก็ไม่ใช่ เราต้องมานั่งคุยกันว่าจะทำอย่างไรกันดี ทำอย่างไรต่อ คือที่เราเคยคุยกันว่าสมมติว่าถ้าทะเลาะกันหรือมีปัญหาก็ต้องเคลียร์กัน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ

 

ฟรีน: มันเป็นการเสียเวลา ถ้าสมมติอีกฝ่ายจะไม่เคลียร์ สุดท้ายคือจบเลย ไม่ได้รักษาความสัมพันธ์ต่อก็ไม่ต้องมาเคลียร์ จบก็จบไปเลย แต่ว่าถ้าเคลียร์ก็คือการรักษาความสัมพันธ์ ไม่ว่าความสัมพันธ์อะไรก็ตาม พี่น้อง แฟน ครอบครัว สุดท้ายถ้าจบกันไปแล้วจะไปเคลียร์กันเพื่ออะไร เคลียร์เพื่อที่จะสานสัมพันธ์กันต่อ เราเป็นไปได้ต่อในทางที่ดีขึ้นๆ ดีกว่าค่ะ

 

มีเรื่องไหนที่อยากบอกอีกฝ่ายแต่ยังไม่เคยได้บอกไหม

 

ฟรีน: หนูบอกกันตลอดเลยค่ะ ไม่ใช่แค่บอกแต่เป็นเชิงสอนก็มี แบบเบ็คหนูต้องลองทำแบบนี้ดู แบบนั้นดูสิ อะไรแบบนี้ หนูบอกน้องตลอด แต่เรื่องที่ไม่เคยบอกไม่มีเลย เราพูดใส่กันตลอดเนอะ

 

เบ็คกี้: ใช่ๆ เราพูดทุกเรื่องจริงๆ ค่ะ เลยไม่มีเรื่องไหนที่น่าจะไม่เคยบอก

 

ฟรีน: ใช่ค่ะ ฟรีนไม่รู้ว่าคนอื่นที่เขามีพาร์ตเนอร์ในการร่วมงาน เขาทำกันขนาดนี้เลยหรือเปล่า แต่ว่าของเราเป็นแบบนี้กันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละ 

 

เบ็คกี้: แต่เบ็คว่าสำคัญนะ เพราะว่าเราเข้าใจกันมากๆ เรานับถือกันมากๆ

 

ฟรีน: น้องอายุ 20 ปีเอง แล้วเราโตกว่าน้องด้วย ค่อนข้างที่จะแทบจะคนละแนวทางเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเราคุยกันแล้วเข้าใจ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ค่ะ

 

 

ฟรีนและเบ็คกี้ในอีก 10 ปีข้างหน้า 

 

ฟรีน: เวลาถามถึงเป้าหมาย ชีวิตฟรีนคือมีเรื่องคิดต่อไปเลย เรารู้สึกว่าปัจจุบันถ้าเราทำให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่าเลย เพราะว่าทุกวันที่ใช้ชีวิตก็คือใส่สุดตัวอยู่แล้ว มันจะเป็นอะไรก็เป็น แต่ว่าถ้ามีชีวิตถึง 34 เหรอ ฟรีนว่าน่าจะเลี้ยงสุนัข ณ ตอนนั้นน่าจะต้องมีบ้านสักหลังแล้วแหละ มีสุนัขสักตัวที่กำลังน่ารักเลย น่าจะเติบโตไปกับเรา ณ ช่วงเวลาที่เป็นวัยรุ่นที่ผ่านมา อาจจะได้จับธุรกิจบางอย่างกับคุณแม่ ที่อยากจะทำ ณ ตอนนี้ หวังว่าจะเติบโตขึ้นในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะธุรกิจ ชีวิต หรือหน้าที่การงาน แล้วก็ขอให้ไม่เป็นโรคอะไรด้วย แค่นั้นพอค่ะ

 

เบ็คกี้: เบ็คจะเป็นคนที่ค่อนข้างวางแผนชีวิต คือปีนี้น่าจะเรียนจบ Double Degree ของกฎหมาย แล้วเดี๋ยวจะต่อ Master Degree เลยคิดว่า ณ ตอนนั้นคง I’m a judge ช่วงกลางวัน พอกลางคืนเป็นนักแสดงต่อ

 

ฟรีน: เลิศเกิน ไม่รับแล้วนะคิวงาน

 

เบ็คกี้: ตอนนั้นน่าจะได้ประสบการณ์ในด้านการแสดงเยอะขึ้น ถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามาก็รับหมด อยากลองหมดเลยค่ะ แต่ก็อยากฟรีแลนซ์ทั้งคู่ถ้าทำได้ และมีบ้านหลังหนึ่ง มีสุนัข 2 ตัว 

 

ฟรีน: แล้วก็ต้องรับโทรศัพท์พี่ด้วย เพราะเดี๋ยวพี่โทรยืมเงินเพราะว่าพี่ไม่ทำงาน 

 

เบ็คกี้: เบ็คคงขับรถ

 

ฟรีน: หนูคงขับรถได้ตั้งแต่อายุ 25 แล้วแหละเบ็ค 34 ก็น่าจะต้องจ้างคนขับรถแล้ว

 

เบ็คกี้: โอเคๆ จ้างคนขับรถ

 

ฟรีน: มีแฟนไหม 30 

 

เบ็คกี้: มีเถอะ

 

ฟรีน: มีแฟนดีกว่า 34 แล้วอะ พอขอมีแฟนหน่อยก็จะยากแล้ว

 

เบ็คกี้: ต้องดูก่อนว่าหน้าที่การงานเป็นอย่างไร เราอยาก Settle ก่อน อยากสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ดีก็ต้อง Settle Finally กับทุกอย่างก่อน แล้วค่อยแต่งงานค่ะ

 

อยากให้ฝากบอกกับแฟนคลับในแง่มุมของทั้งคู่ ว่าถ้าหากวันหนึ่งเราต้องแยกย้ายจากกันไปเติบโต อยากจะฝากอะไรกับแฟนคลับที่ติดตามเราบ้าง

 

ฟรีน: ถ้าวันหนึ่งเราแยกเป็นฟรีน เป็นเบ็คกี้ หนูมองว่าอย่างไรฟรีน-เบคก็จะอยู่ในใจของหนูตลอด แล้วก็ของทุกคนตลอดเหมือนกัน ถึงแม้วันหนึ่งซึ่งก็ต้องมีวันนั้นอยู่แล้วแหละ ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช้าหรือเร็วที่ฟรีนกับเบ็คจะต้องเติบโตไปพร้อมๆ กัน ด้วยกัน อย่างไรฟรีนก็จะเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีของเบ็คอยู่แล้ว แล้วเบ็คก็จะอยู่ข้างๆ ฟรีนอยู่แล้ว ฟรีนอยากจะขอบคุณทุกๆ คนที่นับถือในการทำอะไรก็ตามในชีวิตของฟรีน ไม่ว่าจะทั้งการงาน เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทุกคนเป็นเหมือนกำลังใจของเราเหมือนกันในทุกๆ วัน แล้วก็เราจะพยายามอยู่ข้างๆ ทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ขอบคุณที่รักและสนับสนุนในทุกๆ อย่างที่เป็นฟรีน

 

เบ็คกี้: ฟรีน-เบคก็อยู่ในใจเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็คงบอกพี่ฟรีนด้วยว่ามีอะไรเกิดขึ้นจะมีน้องเสมอ มีอะไรคุยกันได้เสมอ อยู่ข้างๆ เสมอเหมือนเดิม เหมือนกันกับพี่ๆ แฟนคลับเลย เบ็คก็คงยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบดื่มชานมหรือมีความเป็นเด็กตลอดแบบนี้แหละ ไม่เปลี่ยนแน่นอนค่ะ ขอบคุณที่อยู่ข้างกันตลอด แล้วก็อยากให้เติบโตไปด้วยกัน อยากให้ทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองรัก สนุกกับชีวิตทุกวัน ชีวิตมันสั้นจริงๆ เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร วันต่อมาจะเป็นอย่างไร ก็อยากให้สนุกกับทุกวินาทีของชีวิตนะคะ

 

ฟรีน: ฟรีนอยากบอกอีกหนึ่งสิ่งก็คือ ฟรีนอยากให้พี่ๆ แฟนคลับทุกคนมีความสุขในแบบฉบับที่ตัวเองอยากมี แล้วก็เอาพวกเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตก็พอ อย่าเอาพวกเราไปเป็นทั้งหมดของชีวิต ถ้าวันหนึ่งไม่มีฟรีนและไม่มีเบ็คกี้แล้ว หรือไม่มีฟรีน-เบคแล้ว ความสุขทั้งหมดของพวกเขาอาจจะหายไปก็ได้ ฟรีนเลยไม่อยากให้ความสุขทั้งหมดของพวกเขาเป็นพวกเราเลย เราเป็นส่วนหนึ่งได้ในชีวิต แต่ว่าไม่อยากให้เป็นทั้งหมด เพราะว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีเราแล้วจริงๆ พี่ๆ จะมีความสุขในฉบับของพี่ๆ ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตได้ แล้วพวกเราก็จะไม่ห่วง แล้วก็พร้อมจะอยู่ข้างๆ ทุกคนแบบนี้เหมือนเดิมตลอดค่ะ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising