วันนี้ (13 พฤศจิกายน) เมื่อเวลา 16.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร วิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ต้องหาคดีดิไอคอนกรุ๊ป ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังเข้าเยี่ยมบอสพอลและบอสคนอื่นๆ เป็นเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง
วิฑูรย์กล่าวว่า วันนี้ตนเองได้คุยกับ 5 บอส รวมถึงได้คุยกับทนายความของ บอสกันต์ กันตถาวร ที่มาเยี่ยม รวมถึงวันนี้มีตำรวจเข้ามาสอบปากคำบอสพอลเพิ่มเติมในประเด็นกรรโชกทรัพย์ด้วย
บอสพอลฝากบอกว่า คดีนี้ต้นเหตุเริ่มจากช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคมที่ผ่านมาที่เริ่มมีคนมาร้องเรียนผ่าน กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง จากนั้นกฤษอนงค์เข้ามาพูดคุยกับบอสพอลว่ามีผู้เสียหายจำนวน 83 คน ความเสียหายมูลค่า 15 ล้านบาท หากตัวเธอรับทำเคสนี้จะมีการพาไปออกสื่อ ไปร้องหน่วยงานต่างๆ
ซึ่งตัวของบอสพอลในขณะนั้นไม่อยากมีเรื่องหรือทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัทจึงยอมจ่ายเงินไปจำนวน 8.3 ล้านบาท แบ่งเป็นจ่ายให้ผู้เสียหายประมาณ 7 ล้านบาท และจ่ายค่าดำเนินการให้กฤษณ์อนงค์จำนวน 4.5 แสนบาท โดยโอนเงินเข้าบริษัทและจ่ายเป็นเงินสด เงินจำนวนดังกล่าวเป็นการจ่ายแลกกับขอให้เก็บรักษาความลับนี้ไว้ เพราะสิ่งที่บริษัทกลัวคือการไปแจ้งกับคนอื่นๆ แล้วจะมาเรียกร้องกับบริษัทอีก เพราะคนกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ได้ของไปแล้วไม่รู้ว่าขายไม่ได้หรือไม่ได้ขาย
แต่หลังจากที่คนกลุ่มนี้ได้รับเงินปรากฏว่าไปปล่อยข่าวในเพจเฟซบุ๊กและเริ่มมีการโจมตีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ว่าบริษัทเคยจ่ายเงินให้กับผู้เสียหายมาแล้ว ทำให้ผู้เสียหายคนอื่นๆ ไปร้องกับบริษัทของกฤษอนงค์และทนายความคนอื่นๆ ตามที่ปรากฏในสื่อช่วงนั้น และเหตุการณ์เริ่มบานปลาย เพราะบริษัทไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินอีกแล้ว จึงทำให้ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมมีผู้เสียหายไปร้องเรียนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และเรื่องเริ่มเป็นกระแสจนเป็นประเด็นไปถึงรายการ โหนกระแส จนเป็นที่มาของคลิปเรียกเงิน 20 ล้านบาท
ส่วนวันที่ บอสปัน-ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร ไปหากฤษอนงค์ที่บริษัท วันนั้นมีเลขาไปด้วย 2 คน คือ คุณเนมและคุณใหม่ ซึ่งวันนั้นกฤษอนงค์โทรศัพท์ไปหา ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ช่วงประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 9 ต่อเนื่องวันที่ 10 ตุลาคม ว่าจะพาไปออกรายการ โหนกระแส ในวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม และในคืนนั้นกฤษอนงค์บอกกับบอสปันว่าวันที่ 10 จะพาผู้เสียหายไปร้องที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อเปลี่ยนทิศทางคดี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปไม่ได้มีความผิดจริง ทำไมจึงยอมจ่ายเงินจำนวนนี้ วิฑูรย์กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการจ่ายเงินจำนวนนี้มีคลิปเสียงที่บอสพอลพูดคุยกับกฤษอนงค์ชัดเจนว่า ถ้าหากผิดจริงก็ให้ไปร้อง สคบ. เลย แต่อีกฝ่ายมีการแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะพาผู้เสียหายไปร้องหน่วยงานรัฐ พร้อมกับจะเอาสื่อไปด้วย สุดท้ายจึงตัดสินใจยอมจ่ายเงินให้ เพราะไม่อยากให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง และไม่อยากให้มีการร้องเรียนลักษณะแห่โลงศพรอบหน่วยงานรัฐ หรือเกิดการประท้วงเพื่อให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง
วิฑูรย์กล่าวต่อว่า ตนเองได้คุยกับบอสกันต์ผ่านทนายความว่ามีการติดต่อกับฟิล์มหรือไม่ บอสกันต์ปฏิเสธว่าฟิล์มไม่ได้ติดต่อมา มีแต่ติดต่อไปหาภรรยาบอสกันต์เพื่อให้กำลังใจเท่านั้น และบอสกันต์ก็ไม่เคยคิดที่จะไปออกรายการ โหนกระแส
บอสพอลยังฝากบอกอีกว่า ตอนนี้ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าเรา (ดิไอคอนกรุ๊ป) โกงอย่างไร เพราะผู้เสียหายส่วนมากจะเป็นจากการเชื่อและซื้อสินค้าเอามาขาย แต่ทุกครั้งที่สั่งซื้อคุณก็ได้สินค้าทุกครั้ง ส่วนเรื่องขายไม่ได้หรือคุณไม่ได้ขายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บอสพอลบอกว่าคดีนี้ควรจะเป็นคดีแพ่งมากกว่าคดีอาญา แต่ไม่เป็นไร สุดท้ายตำรวจออกหมายจับแล้ว
บอสพอลกล่าวต่อว่า กฤษอนงค์เคยมีพฤติกรรมแบบนี้กับบริษัทอื่น ดิไอคอนกรุ๊ปไม่ใช่ที่แรกที่ถูกทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่ เพราะฉะนั้นใครที่เคยโดนเหมือนกันขอให้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ
วิฑูรย์กล่าวต่อว่า บอสพอลระบุอีกว่าก่อนที่จะโดนจับมีโอกาสพูดชี้แจง แต่ด้วยกระแสสังคมที่กดดันจึงพูดได้ไม่เต็มที่ แต่บอสคนอื่นไม่มีโอกาสได้พูดหรือชี้แจงในฝั่งของดิไอคอนกรุ๊ปเลย จึงอยากขอสังคมให้โอกาสและเปิดใจ เหล่าบอสก็พร้อมจะไปออกทุกรายการและชี้แจงให้สังคมเข้าใจ เพราะตอนนี้ในเกมของสื่อมวลชนทางเราแพ้ แต่ในเกมของกระบวนการยุติธรรมยังไม่สิ้นสุดเลยว่าเราแพ้หรือชนะ
วิฑูรย์กล่าวว่า คดีของดิไอคอนกรุ๊ปเกิดจากกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์แล้วมาเล่นงานบริษัท ส่วนที่มีผู้ต้องหาเข้าแจ้งความจำนวนมากส่วนหนึ่งก็มองว่าเป็นเพราะผู้เสียหายอุปทานหมู่ พอเห็นข่าวแล้วเห็นว่าตัวเองก็เคยซื้อของกับดิไอคอนกรุ๊ป ก็อาจเกิดข้อสงสัยและเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย อย่างเช่น สมาชิกทั้งหมดของดิไอคอนกรุ๊ปมีมากกว่า 300,000 คน แต่พบว่ายอดการแจ้งความมีประมาณกว่า 10,000 คน ยังไม่ถึง 2% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดด้วยซ้ำ ส่วนที่คนสงสัยว่าหากหลักฐานไม่แน่นจริง ตำรวจก็คงไม่ออกหมายจับ ทนายวิฑูรย์มองว่า บางคดีถูกหมายจับไปแล้ว ท้ายที่สุดศาลก็ยกฟ้อง
ส่วนเรื่องการจ้างทำพีอาร์ได้สอบถามบอสพอลมาแล้ว ยืนยันว่าดิไอคอนกรุ๊ปมีการจ้างทำการตลาดรวมถึงทำโฆษณากับบริษัทอื่น ซึ่งไม่เคยจ้างงานกฤษอนงค์และฟิล์มอย่างแน่นอน โดยเรื่องคลิปเสียงหลังจากนี้ก็พร้อมจะดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม โดยจะดำเนินคดีกับทั้งสองคนในข้อหาพยายามฉ้อโกง
สุดท้ายเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีใครเพิ่มเติมหรือไม่ วิฑูรย์กล่าวว่า แค่นี้ก็หัวหมุนไปหมดแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า วันนี้บอสพอลทิ้งวลีเด็ดที่บอกว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกหรือไม่ ทนายวิฑูรย์บอกว่า วันนี้ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่แตะมือกันผ่านกระจกเท่านั้น