×

ถอดบทเรียนโลกการทำงานจาก The Face Thailand Season 4 All Stars EP.4

04.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 Mins. Read
  • นี่เป็นอีพีที่นอกจากจะสนุกมากแล้วยังเป็นประโยชน์กับคนทำงานมากๆ ทั้งกับหัวหน้า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน ชนิดที่ยิ่งดูยิ่งเห็นประโยชน์ ยิ่งดูหลายรอบยิ่งเห็นรายละเอียดที่เอาไปใช้กับชีวิตจริงได้
  • สิ่งที่ต้องชมทีมซอนย่าคือพอรู้ตัวว่าสิ่งที่เตรียมมาต้องถูกตัดออก แต่ก็ยังประคองสติได้อยู่ เมนเทอร์ซอนย่าเองก็ไม่ได้สติแตกกับปัญหาที่เจอ นิ่งมาก และยังอารมณ์ดีเฮฮาได้ตลอด ทำให้ลูกทีมมีกำลังใจในการทำงานต่อ
  • ระเบิดลูกเดียวที่เมนเทอร์ซอนย่าโยนลงไปด้วยการเตือนนิกกี้กับเติร์ทและสอนไปถึงทุกคนด้วย สามารถทำให้ทั้งเมนเทอร์บีและเมนเทอร์คริสกลายเป็นพวกเดียวกันกับเธอได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะทุกคนเป็นคู่แข่งกันหมด

ก่อนจะเข้าสู่บทเรียนโลกการทำงานที่เราได้จาก The Face Thailand Season 4 All Stars ในสัปดาห์นี้ ขอใช้พื้นที่ตรงนี้บอกผู้อ่านทุกท่านว่า นี่เป็นอีพีที่นอกจากจะสนุกมากแล้วยังเป็นประโยชน์กับคนทำงานมากๆ ทั้งกับหัวหน้า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน ชนิดที่ยิ่งดูยิ่งเห็นประโยชน์ ยิ่งดูหลายรอบยิ่งเห็นรายละเอียดที่เอาไปใช้กับชีวิตจริงได้

 

ในแง่โปรดักชัน สัปดาห์นี้ทีมงาน The Face Thailand ยังคงเล่นใหญ่และมากับโจทย์ที่ท้าทายสมกับเป็นซีซัน All Stars กับโจทย์ถ่ายแฟชั่นวิดีโอในธีม The Couture Musketeers ที่นอกจากเครื่องทรงการแต่งกายจะมาเต็มแล้ว ฉากหลังกับห่าฝนที่เทลงมาก็ทำให้ภาพออกมาสมจริงยิ่งขึ้น แม้จะเป็นการถ่ายวิดีโอสโลว์โมชันที่ใช้เวลาไม่กี่วินาที โฟกัสอยู่ที่ท่าเดียวให้รอด แต่ความท้าทายอยู่ที่โอกาสในการถ่ายทำแค่ 3 ครั้ง ทั้งทีมจะสื่อสารออกมาในภาพอย่างไร เพราะฉะนั้นโจทย์แคมเปญนี้ ทีมเวิร์กเป็นเรื่องสำคัญมาก หากพลาดคนเดียวแปลว่าทั้งเทกนั้นใช้ไม่ได้ แล้วจะเล่าเรื่องราวแบบไหนลงในวิดีโอสั้นๆ ให้คนดูรู้เรื่องและส่งพลังมาถึงได้ อันนี้สิน่าสนใจ

 

ในฐานะคนที่ติดตามรายการนี้มาตั้งแต่ปีแรก (และรวมถึง The Face Men Thailand ด้วย) ขอยกให้การแข่งขันแคมเปญในสัปดาห์นี้ของ The Face Thailand Season 4 All-Stars เป็นอีพีที่ดีที่สุดตั้งแต่มีรายการมา เพราะสนุกด้วยการทำงานล้วนๆ การเล่าเรื่องและการตัดต่อที่รับส่งอารมณ์ได้ลงตัว สามารถแทรกทั้งอารมณ์ตลก ตื่นเต้น ซาบซึ้ง และสาระประโยชน์ที่คนดูได้รับก็มีมาก คนทำดีก็ต้องชม จะรออะไรล่ะ ปรบมือ!!!  

 

ถ้าไม่มองเป็นแค่รายการขายดราม่าอย่างเดียว เราจะพบว่านี่คือตำราการบริหารมนุษย์อย่างดี ไม่เฉพาะสัปดาห์นี้ แต่เป็นทุกสัปดาห์ที่เราจะได้ประโยชน์จากตำรานอกห้องเรียนกัน และสัปดาห์นี้มีหลายเรื่องให้เราได้เรียนรู้กันเช่นเคย

 

ติดตามดูรายการ The Face Thailand Season 4 All Stars EP.4 ย้อนหลังได้ที่ tv.line.me/v/2802226/list/193711

 

**บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ

 

 

Safe zone is the most dangerous zone.

นิกกี้ชนะมาสเตอร์คลาส ทำให้ได้รับสิทธิ์อยู่ในเซฟโซน ไม่ว่าทีมแพ้หรือชนะ เขาจะไม่ต้องไปอยู่ในห้องดำ เรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนรับสิทธิ์ แต่ไม่ต่างกับแหวนใน The Lord of the Rings ที่เป็นภัยกับผู้ได้มันมาเช่นกัน อย่างที่เราเห็น พอนิกกี้ได้สิทธิ์เซฟโซน เขาก็ไม่รู้สึกว่าต้องแข่งขันอะไร ความกระตือรือร้นไม่มี แล้วยังชวนเติร์ทเล่นระหว่างการแข่งขัน ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่รู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าไม่ตั้งใจ ตัวเองก็มีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในห้องดำแล้วโดนคัดออกเช่นกัน เพราะฉะนั้น ความอยากสู้ให้ชนะ ความอยากเอาตัวรอดของคนที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในอันตรายกับคนที่อยู่ในที่ปลอดภัยมันจึงต่างกัน ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นดูจะไฟต์กว่านิกกี้อย่างเห็นได้ชัด ส่วนนิกกี้ที่ปกติจะทำผลงานได้ดีอยู่แล้วก็กลายเป็นได้ผลงานที่ไม่สมศักดิ์ศรีความสามารถของเขาเท่าไร เสียของเห็นๆ

 

ถ้าเราเป็นนิกกี้ สิ่งที่ควรทำเมื่อตัวเองได้อยู่ในเซฟโซนแล้ว คือการคิดว่าเราจะช่วยให้ทีมชนะได้อย่างไร เราปลอดภัย แต่ต้องไม่ทำให้เพื่อนเสียสมาธิ เรายิ่งต้องช่วยเพื่อน ช่วยเมนเทอร์ เพราะการที่เราอยู่ในเซฟโซนแล้วแปลว่าเราหมดความกังวลและควรมีสติดีที่สุดในทีม ให้กำลังใจเพื่อน คอยดูว่าตัวเราจะทำได้ดีหรือเปล่า คิดเล่นๆ ว่ามันจะเจ๋งแค่ไหน ถ้าเขาเองชนะมาสเตอร์คลาสแล้วพอมาแข่งขันแคมเปญก็ยังทำผลงานตัวเองได้ดีที่สุดในทีมอีก อันนี้สิเจ๋งจริง

 

ในชีวิตการทำงาน หลายครั้งเราเรียกความมั่นคงว่าเป็นความปลอดภัย เราคงไม่อยากมีชีวิตที่ต้องคอยผวากับอันตรายที่เข้ามาอยู่ตลอด แต่ในอีกมุมหนึ่ง การอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็กลายเป็นที่ที่อันตรายที่สุดได้เหมือนกัน อันตรายเพราะเราจะตายด้วยตัวเองนี่แหละครับ เพราะเมื่อเราคิดว่าทุกอย่างปลอดภัย เราจะไม่ระวัง เราจะไม่กระตือรือร้น เราจะไม่รู้สึกว่าต้องพยายามมีชีวิตรอดให้ได้ เพราะอย่างไรเราก็ปลอดภัยอยู่ดี กลายเป็นว่าเราหยุดเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป หรือหยุดที่จะพยายามเอาชนะตัวเองไปโดยปริยาย

 

แต่กลับกัน เมื่อไรที่รู้ว่าเราอยู่ในอันตราย เราจะระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น หรือจู่ๆ เราก็สามารถดึงเอาพลังที่ซ่อนออกมาเอามาใช้แก้ปัญหาได้ในยามวิกฤต อารมณ์เดียวกับคนที่บ้านไฟไหม้แล้วสามารถยกของหนักๆ ได้โดยไม่รู้ตัว พวกนี้มันเกิดจากสัญชาตญาณความเอาตัวรอดครับ เมื่อไรที่เราอยากจะมีชีวิตอยู่และกลัวว่าจะไม่ได้อยู่ต่อไป เราจะสู้เพื่อให้มีชีวิตรอด วิกฤตเป็นโอกาสในการเรียนรู้ครับ ยิ่งมีวิกฤตเข้ามาแล้วเรารู้สึกถึงอันตรายในชีวิต เราจะยิ่งสู้กว่าเดิม และผลลัพธ์ของความทุ่มเทเพื่อความอยู่รอดมันคุ้มค่ามากครับ

 

 

ผมคิดว่าหลายคนเข้าใจคำว่าความมั่นคงในชีวิตผิดอยู่ หลายคนเข้าใจว่ามั่นคงแปลว่าไม่เปลี่ยนแปลง แน่นิ่ง เดาได้ ไม่น่ากลัว แต่มีอะไรในโลกบ้างล่ะครับที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นมันไม่มีความมั่นคงที่แปลว่าความไม่เปลี่ยนแปลงหรอกครับ ผมคิดว่าการมีความมั่นคงที่แท้จริงหมายถึงการมีความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาในชีวิตได้ มีอะไรเข้ามาเราก็ไม่กลัวและสามารถหาทางรับมือกับมันได้ จะเปลี่ยนแปลงอีกกี่รอบก็ยังปรับตัวให้อยู่รอดและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่มั่นคงของชีวิตได้ นี่สิครับที่เรียกว่าความมั่นคง

 

ผมเคยบอกคนที่รู้สึกกังวลว่าตัวเองอยู่ในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการถูก Disruption ว่า หากมองให้เป็นโอกาสก็เป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะแปลว่าเรารู้แล้วว่าเราอยู่ในอันตราย แปลว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่บังคับให้เราต้องมีสติ ต้องคอยระวังตัว ไปจนถึงต้องใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อหาทางอยู่รอด เพราะเรารู้อยู่เต็มอกว่าถ้าจะใช้วิธีการเดิม แต่หวังผลแบบใหม่ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าอยากได้ผลลัพธ์แบบใหม่ เราต้องใช้วิธีใหม่ที่ยังไม่เคยทำ แปลว่าเราจะมองหาทุกความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นในวิกฤต บรรยากาศแบบนี้แหละครับที่มันทำให้เราดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ผลักให้เราต้องพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น และเข้าใจที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง แต่กลับกันนะครับ ถ้าเราไม่รู้สึกว่าชีวิตมีความเสี่ยง เราอาจจะทำงานแบบเดิม ไม่มีการพัฒนา แล้วถ้าดันมีความเปลี่ยนแปลงที่เราไม่คาดคิดมาก่อนเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว เราไม่ยิ่งแย่กว่าเดิมเหรอครับ เพราะฉะนั้นการที่เรารู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิตได้นี่แหละครับเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต

 

ถ้าตอนนี้กำลังเจออุปสรรคอะไรอยู่ ขอให้คิดว่า อันตรายที่เรามองเห็นมันเนิ่นๆ ดีกว่าอันตรายที่เกิดขึ้นกับเราตอนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว และขอให้เห็นความไม่ปลอดภัยของชีวิตที่ปลอดภัยเสียเหลือเกินด้วยครับ   

 

 

ตั้งคำถามเพื่อป้องกันปัญหา

สิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมซอนย่าคือ เมื่อไปถึงหน้าเซตแล้วพบว่าท่าที่ซ้อมมาต้องถูกตัดออกหลายท่า เพราะการถ่ายทำจริงจะเก็บภาพแค่แอ็กชันเดียวเป็นสโลว์โมชัน เพราะฉะนั้นจะมีการถ่ายจริงแค่ 2 วินาที แต่จะถูกยืดเป็น 15 วินาทีในภายหลัง แต่ทีมซอนย่าคิดท่ามาสำหรับ 15 วินาที ไม่ใช่ 2 วินาที เลยเตรียมท่ามาเยอะ พอมาถึงเลยต้องตัดออก เหลือแค่แอ็กชันเดียว กลายเป็นว่าเวลาตอนเตรียมตัวในห้องประชุมเลยเสียไป ไม่ได้ใช้ทุกนาทีไปกับการทุ่มพลังเพื่อสิ่งที่ควรเกิดขึ้นกับ 2 วินาทีที่ได้ใช้จริงๆ

 

ในชีวิตการทำงานเราก็คงเคยเจอปัญหาแบบนี้เหมือนกันที่ทำงานมาแล้วพบว่า อ้าวเฮ้ย…ไม่เหมือนที่เราเข้าใจมานี่หว่า เราเข้าใจผิด เลยทำงานออกมาได้ไม่ตรง

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเมนเทอร์ซอนย่าอาจเกิดขึ้นกับเราได้เหมือนกันครับ แต่ป้องกันได้จากการถาม ถาม ถามให้มากที่สุด (ซึ่งทางรายการไม่ได้ตัดตอนที่เมนเทอร์รับบรีฟจากกรรมการมาให้ดู เลยไม่รู้ว่ารับบรีฟกันอย่างไร ซึ่งผมคิดว่าการดูเมนเทอร์แต่ละคนรับบรีฟก็ทำให้เห็นวิธีการทำงานของแต่ละคนด้วย)

 

 

เวลาที่เราได้โจทย์ในการทำงานมาแต่ละครั้ง เราต้องถามทุกอย่างเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ถามเพื่อทวนว่าเราเข้าใจถูกหรือเปล่า หรือถามเพื่อหาแนวทางในการทำงาน รุ่นพี่ที่ทำงานเอเจนซีเคยสอนผมครับว่า ถ้าลูกค้าบอกว่าอยากทำโฆษณาโทรทัศน์ 30 วินาที เราต้องไม่รีบตอบว่า โอเคครับ ทำโฆษณาโทรทัศน์ 30 วินาที แต่ต้องถามต่อหรือขุดให้เจอว่าทำไมลูกค้าอยากทำโฆษณา จุดประสงค์ของการทำโฆษณาคืออะไร ปัญหาอะไรที่นำมาสู่การที่ลูกค้าเดินเข้ามาหาเราให้ทำโฆษณาโทรทัศน์ 30 วินาที ฯลฯ ถามจนเราตกผลึกจริงๆ ว่าจะแก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างไร ซึ่งสุดท้ายเราอาจจะพบว่าการทำโฆษณาโทรทัศน์ 30 วินาทีไม่ใช่คำตอบ แต่เราสามารถคิดวิธีที่สร้างสรรค์ได้มากกว่านั้น และตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง การแก้ปัญหาให้ลูกค้ามันอาจจะมากไปกว่าการโฆษณาออกมาแล้วจบกันก็ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องถามให้เยอะที่สุด

 

หัวหน้าที่ถูกลูกน้องถามเยอะๆ ก็ต้องไม่มีมายด์เซตว่าทำไมลูกน้องเข้าใจยากจัง แต่ให้คิดว่ายิ่งถามยิ่งดี ยิ่งถามลูกน้องยิ่งเข้าใจ ยิ่งคลำยิ่งหาทางแก้ปัญหาเจอ เรากำลังหาทุกความเป็นไปได้ในการจัดการกับปัญหาร่วมกันอยู่ อย่ารำคาญ ลูกน้องหรือคนทำงานก็เช่นกัน เราต้องหัดตั้งคำถามให้เยอะ การตั้งคำถามไม่ได้แปลว่าเรามีปัญหา แต่แปลว่าเรากำลังควานหาทางทำงานอยู่ เรากำลังสำรวจความเป็นไปได้อยู่ และเมื่อเราตั้งคำถามแล้วก็ต้องหัดหาคำตอบด้วยตัวเอง ยิ่งหาข้อมูลมากขึ้น ยิ่งคุยกับคนมากขึ้น เราก็จะยิ่งหาวิธีการทำงานที่ดีหรือตอบโจทย์ได้มากขึ้นไปด้วย

 

แต่สิ่งที่ต้องชมทีมซอนย่าคือพอรู้ตัวว่าสิ่งที่เตรียมมาต้องถูกตัดออกบางส่วนชนิดต้องโยนทิ้งเลย แต่ก็ยังประคองสติได้อยู่ เมนเทอร์ซอนย่าเองก็ไม่ได้สติแตกกับปัญหาที่เจอ นิ่งมาก และยังอารมณ์ดีเฮฮาได้ตลอด ทำให้ลูกทีมมีกำลังใจในการทำงานต่อ ถ้าหัวหน้าเองยังเป๋ ลูกน้องก็อาจจะเซไปด้วยได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาเจอปัญหา เราต้องมีสติก่อน วิธีการแก้ปัญหาของเมนเทอร์ซอนย่าก็น่าสนใจเช่นกัน คือแทนที่จะคิดท่าใหม่ตรงนั้น ซึ่งอาจจะทำให้เสียเวลา และยังต้องอาศัยการปรับตัวให้ทันของลูกทีมภายในเวลาที่กระชั้นมากๆ เมนเทอร์ซอนย่าตัดสินใจเดี๋ยวนั้นที่จะโฟกัสในสิ่งที่ลูกทีมทุกคนเข้าใจอยู่แล้ว มาร์กจุดตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม เอาท่าเดิมที่คิดกันมานั่นแหละ แต่ทำให้ดีที่สุด มีพลังที่สุด อาจจะเป็นข้อดีของการที่เมนเทอร์คิดท่าไว้เยอะมาก่อนหน้า ทำให้มีคลังไอเดียมากพอที่จะสามารถตัดสินใจได้ว่าสุดท้ายแล้วจะโฟกัสที่แอ็กชันแบบไหน แต่ถ้าในหัวไม่ได้มีไอเดียสำรองไว้ตั้งแต่ต้น พอมาถึงสถานการณ์ที่ต้องจัดการเดี๋ยวนั้นอาจจะทำให้เสียเวลาเข้าไปอีกก็ได้

 

 

คนที่กล้าบอกจุดบกพร่องของเราคือคนที่รักเรามากที่สุด

ในระหว่างการแข่งขัน เติร์ทเล่นอยู่ตลอด ไม่มีสมาธิ พูดแทรก เถียงเมนเทอร์ แสดงออกชัดเจนว่าไม่แคร์ว่าใครจะคิดอย่างไร คิดว่าตัวเองทำถูก ทำดีอยู่แล้ว และพานคิดว่าคนทั้งรายการคงเกลียดเติร์ท ซึ่งถ้ากลับไปดูอีพีที่แล้วที่โจทย์เป็นการแต่ง Drag ซึ่งเติร์ทน่าจะทำได้ดี แต่กลับทำได้ไม่ดีเลย เติร์ทเองก็ยังบอกว่าใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป เขาคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เออเว้ย! แล้วปรากฏว่ากลายเป็นเขาเองที่ต้องเข้าห้องดำ ก็มาจากความคิดที่ว่าตัวเราดี ตัวเราถูกอยู่ตลอดเวลา และไม่สนใจคำตักเตือนของคนอื่นเช่นกัน เรื่องนี้ก็กลับมาเกิดซ้ำอีก

 

เช่นเดียวกับนิกกี้ที่ดูไม่ได้รู้สึกผิดที่ตัวเองเอาแต่เล่น ยิ่งตอนที่เถียงเมนเทอร์ซอนย่า ทั้งท่าทางการกางแขน ไขว่ห้าง เอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ สีหน้าไม่แคร์โลก คำพูดและน้ำเสียงที่สวนไป ยิ่งตอนให้สัมภาษณ์ นิกกี้ก็ดูไม่ได้รู้สึกผิดทั้งต่อเมนเทอร์ทุกคนหรือต่อเพื่อนร่วมรายการเลยแม้แต่น้อย และพูดว่าเมนเทอร์คริสเตือนในห้องก็น่าจะจบแล้ว (แต่มันไม่จบไง) มันดูไม่น่ารักเลยทั้งในสายตาเพื่อนร่วมรายการ เมนเทอร์ ทีมงาน และคนดู

 

ถ้าระเบิดพลีชีพของเติร์ทและนิกกี้จะเป็นประโยชน์กับพวกเราก็คงจะเป็นในมุมที่ว่าเราควรมีสำนึกแบบไหนเวลาที่ถูกคนตักเตือนมา ซึ่งในชีวิตการทำงานจริง นี่เป็นสิ่งที่เราเจออยู่แล้ว ทั้งการตักเตือนจากหัวหน้าเราเหมือนอย่างที่เมนเทอร์คริสเตือนลูกทีมตัวเอง การเตือนจากคนนอกเหมือนที่เมนเทอร์ซอนย่าและเมนเทอร์บีเตือนเติร์ทกับนิกกี้ การเตือนจากเพื่อนร่วมงานเหมือนที่ดารัณและจีน่าเตือนเติร์ท

 

 

ผมคิดว่าเราต้องมีมายด์เซตที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ มองให้เห็นถึงคุณค่าของคำตักเตือน แน่นอนว่าเราไม่ชอบหรอกที่คนมาบอกว่าเราไม่ดี แต่ต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วเรารู้หรือเปล่าว่าเราไม่ดีตรงไหน การที่มีคนอื่นมาช่วยเป็นกระจกสะท้อนให้เราได้เห็นในสิ่งที่อาจจะไม่รู้มาก่อนว่าเราเป็นแบบนั้น และถ้าสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราเป็น มันไปกระทบต่อคนอื่น เราต้องรีบขอโทษเขา

 

คนที่กล้าบอกในสิ่งที่เราไม่อยากฟังที่สุด แปลว่าเขารักเรามากพอที่จะไม่ปล่อยให้เรากลายเป็นคนไม่ดี นึกภาพว่ามันเหมือนเรากำลังจะเดินตกเหว แถมเป็นเหวที่เต็มใจจะเดินไป เพราะคิดว่ามันเป็นทางที่สวยด้วยซ้ำ แล้วมีคนกระโดดเข้ามาช่วยเรา หรือตะโกนบอกเราว่าอย่าไปตรงนั้น แสดงว่าเขารักเรา เขาเห็นว่าเรามีคุณค่าพอและไม่สมควรจะเดินไปตกเหว กลับกัน ถ้าเขาไม่เห็นคุณค่าของเรา เขาอาจจะปล่อยให้เราเดินตกเหวไปเลยก็ได้ จะมาบอกทำไมให้เหนื่อย แถมบอกแล้วเราอาจจะโกรธ อาจจะย้อนมาเถียงอีกก็ได้ เราต้องมองให้เห็นถึงความรักที่เขามีต่อเรา เราต้องขอบคุณเขาที่ไม่ยอมปล่อยให้เราทำไม่ดีต่อไป แต่ถ้าเราทำทีเหมือนไม่เห็นหัวใคร อยากพูดก็พูดไป เราเก่ง เราแน่ เราอาจจะเสียคนที่รักเราไปอีกคนหรืออีกหลายคน เพราะเขารู้สึกว่าเราไม่ได้ให้คุณค่ากับความรักที่เขามอบให้

 

 

ยิ่งมีคนเตือนเรานั้นเป็นเรื่องดี เพราะแปลว่าเขาเชื่อว่าเราดีขึ้นได้มากกว่านี้ แปลว่าเขายังมีศรัทธาในตัวเราอยู่ อย่าเพิ่งรีบมองว่าเราเก่ง เราแน่ เราดีที่สุด เพราะมันไม่มีคำว่าดีที่สุด มันมีแต่คำว่าดีขึ้น ซึ่งเมื่อมีคนมาตักเตือนเรา แปลว่าเขากำลังช่วยให้เราไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าเรามองว่าตัวเองดีที่สุด เราจะปิดโอกาสในการพัฒนา เราจะไม่เห็นหัวใคร แม้แต่หัวของเราเอง

 

สิ่งที่น่ากลัวคือการที่เราอยู่ในจุดที่ไม่มีใครเตือนเราได้ แปลว่าไม่มีใครปกป้องเราได้นอกจากตัวเราเองล้วนๆ ยิ่งโตขึ้น คนที่จะหวังดีตักเตือนเราก็ยิ่งน้อยลง เพราะถือว่าเราน่าจะมีวุฒิภาวะมากพอแล้ว ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะมีกันทุกคน เพราะเราก็คงเคยเห็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่ดี นั่นก็เป็นเพราะไม่มีใครกล้าเตือนเขา เขาอยู่สูงเกินไปที่จะได้ยินเสียงของคนอื่น ความน่าเคารพศรัทธามันก็หายไปด้วย ซึ่งนั่นคงไม่ใช่ผู้ใหญ่แบบที่เราอยากเป็นใช่ไหมล่ะครับ

 

วันนี้เราอาจจะไม่พอใจที่มีคนมาเตือน เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่น่าฟัง คิดว่าเขาต้องเกลียดเราแน่เลยถึงมาบอกเราแบบนี้ อาจจะต้องกลับมาตั้งหลักดูว่าคำพูดของเขาเป็นไปเพื่อการโจมตีหรือปกป้องเราไม่ให้ทำชั่ว คนไหนที่พูดเพื่อโจมตีหรือแค่ต้องการบั่นทอนกำลังใจเรา ก็พยายามคิดว่าเขามาสอนเราให้อดทน แต่ถ้าคนไหนพูดเพื่อปกป้องไม่ให้เราทำชั่ว พูดแล้วเราสามารถไปพัฒนาตัวเองต่อได้ก็ต้องขอบคุณเขา มองให้เห็นถึงความรักของคนที่ตักเตือนเรา และเอาคำพูดเขามาปรับปรุงตัวเองต่อไปให้คุ้มกับความรักที่เขาให้มา

 

 

วิชาเมนเทอร์ซอนย่า 101

อีพีนี้เราควรต้องเรียนวิชาเมนเทอร์ซอนย่า 101 กันเลยทีเดียว เพราะสัปดาห์นี้เมนเทอร์ซอนย่าสอนอะไรดีๆ เยอะมาก

 

ซีนที่น่าจดจำที่สุดของอีพีนี้คือบรรยากาศนอกห้องดำที่เมนเทอร์ซอนย่าแสดงธรรมเทศนาให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนฟัง ที่ผ่านมาใน The Face Thailand เราจะเห็นการเล่นใหญ่ของเมนเทอร์แต่ละคนที่ขยันหาคำมาเชือดเฉือนอีกฝ่าย และพร้อมจะโกรธคนที่ตัดลูกทีมตัวเองออกไป ไม่ว่าลูกทีมตัวเองจะสมควรออกหรือไม่ แต่เมนเทอร์ซอนย่าเปลี่ยนมันเป็นแฟร์เกมด้วยการบอกว่า ไม่สนว่าเมนเทอร์คริสจะตัดหรือไม่ตัดใครออก แต่มาวันนี้เพื่อต้องการมาชมคริสว่าเป็นเมนเทอร์ที่เก่งมาก เพราะความประพฤติของลูกทีมเมนเทอร์คริสเกือบจะทำให้ทีมแพ้แล้ว มันเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ในการทำงาน และต่อไปนี้ถ้าใครคนไหนในรายการทำตัวไม่ดี ต่อให้ผลงานออกมาดี เมนเทอร์ซอนย่าก็จะตัดออกหมด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องฝีมือแล้ว แต่เป็นพฤติกรรมในการทำงานด้วย

 

เรียกว่าระเบิดลูกเดียว แต่เป็นระเบิดปรมาณูที่พลังทำลายล้างสูงจนดูแล้วถึงกับตบอกว่าการเดินเกมแบบนี้ฉลาดมาก หัวหน้าควรดู!

 

อย่างแรกคือการแสดงให้เห็นว่าเมนเทอร์ซอนย่ามีน้ำใจนักกีฬา ยอมรับผลการตัดสิน ไม่ว่าผลจะออกมาจะทำให้เสียประโยชน์หรือได้ประโยชน์ก็ตาม แต่เมื่อใครตัดสินออกมาแบบไหนก็ยินดีรับผลนั้นและเดินหน้าต่อ เป็นการวางตัวแบบไม่เป็นศัตรูกับใคร อยู่ในเกมแบบเข้าใจ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าเมนเทอร์ซอนย่าบอกว่า ตัดลูกทีมฉันไปเลย คราวหน้าถ้าชนะบ้าง จะทุบ! ทุบ! ทุบ! เมนเทอร์ซอนย่าก็จะถูกมองอีกแบบทันที

 

ในอีกมุมหนึ่ง ถ้าวิเคราะห์ดีๆ เมนเทอร์ซอนย่าชี้จุดอ่อนของทีมคริสผ่านวิธีที่เมนเทอร์คริสจะต้องฟังแล้วโกรธไม่ลง (แต่หน้าชายิ่งกว่า) และไม่สร้างศัตรูเพิ่มด้วย พวกเราเห็นกันอยู่นะครับว่าทีมคริสมีจุดอ่อนในสัปดาห์นี้ที่ลูกทีมมีพฤติกรรมเละเทะ ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้าเมนเทอร์ซอนย่าเลือกที่จะบอกว่า “คริส ยูดูแลลูกทีมยูก่อนไหม ก่อนที่จะมาตัดทีมคนอื่น เพราะลูกทีมยูเละเทะมาก ถ้าดูกันที่พฤติกรรม ทีมยูไม่สมควรชนะด้วยซ้ำ ทีมอื่นเขาตั้งใจกันหมด” ผลจะเป็นอีกแบบหนึ่งเลยนะครับ คนฟังอาจจะรู้สึกว่าเมนเทอร์ซอนย่าขี้แพ้ชวนตีหรือเปล่า หรือรู้สึกว่าคนแพ้พูดอะไรมาก็ไม่มีน้ำหนักหรอก แต่เมนเทอร์ซอนย่าบอกว่าวันนี้ไม่ได้มาทะเลาะกับเมนเทอร์คริส แต่อยากมาชื่นชมด้วยซ้ำว่าเป็นเมนเทอร์ที่เก่งมาก เพราะลูกทีมเกือบทำให้เมนเทอร์พลาดแล้ว แต่เมนเทอร์คริสก็สู้จนชนะได้ เท่ากับว่าเป็นการชื่นชมและให้กำลังใจไปในตัว ขณะเดียวกันก็แล่นเข้าตรงที่จุดอ่อนของทีมคริสที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ด้วยวิธีละมุนละม่อม ชนิดที่ฟังเขาชม แต่หน้าชามาก ยิ่งเมนเทอร์ซอนย่าสื่อออกมาด้วยความจริงใจด้วยแล้ว เมนเทอร์คริสก็คงรู้สึกว่าเขาไม่ได้มาทำลายเรา แถมรู้สึกขอบคุณเมนเทอร์ซอนย่าด้วย คิดดูว่าแค่ประโยคเดียว แต่ทั้งชมและทั้งขยี้ไปที่จุดอ่อนได้ โอ๊ย ขนลุก! เป็นทักษะขั้นสูงในการคอมเมนต์ที่เราควรดูไว้เป็นตัวอย่าง นักเรียน…กราบ!  

 

 

นอกจากนั้น ระเบิดลูกเดียวที่เมนเทอร์ซอนย่าโยนลงไปด้วยการเตือนนิกกี้กับเติร์ทและสอนไปถึงทุกคนด้วยสามารถเปลี่ยนให้ทั้งเมนเทอร์คริสและเมนเทอร์บีกลายเป็นพวกเดียวกันกับเธอได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะทุกคนเป็นคู่แข่งกันหมด เพียงแค่เพราะเมนเทอร์ซอนย่าพูดในสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคน พูดความจริงที่ไม่แต่งเติม และพูดในฐานะคนที่อยากเห็นผู้เข้าแข่งขันไม่ว่าทีมไหนก็ตามรู้จักวางตัวให้ดี พัฒนาตัวเองให้คู่ควรกับการแข่งขัน เมนเทอร์บีเลยออกมาตักเตือนเติร์ทต่อ เมนเทอร์คริสเองก็เตือนเติร์ทกับนิกกี้ต่อหน้าทุกคนไปด้วย (โมเมนต์ที่เมนเทอร์ต้องมาเจอลูกทีมตัวเองเถียงคนอื่นต่อหน้า ทำพฤติกรรมแย่ๆ ทั้งที่ตัวเองยืนหัวโด่อยู่นี่ ถ้าเป็นเราก็คงอายจนไม่รู้จะหลบไปที่ไหน เข้าใจเมนเทอร์คริสมากๆ) เพื่อนร่วมรายการเองก็ยังรู้สึกร่วมไปด้วย ทุกคนกระโดดมาแท็กทีมกันทันที เพราะเมนเทอร์ซอนย่านำประเด็นที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันมาพูด ทุกคนชนะหมด ไม่มีการพูดแล้วมีเมนเทอร์คนไหนแพ้ และสิ่งที่พูดก็สามารถนำไปใช้ได้หมดไม่ว่าจะอยู่ทีมใครก็ตาม เอาว่าลูกทีมทีมอื่นฟังเมนเทอร์ซอนย่าแล้วก็รู้เลยว่าเราต้องพัฒนาตัวเองไปด้วยกันหมด เพราะพูดในสิ่งที่เกิดประโยชน์ ไม่ได้พูดเพื่อทำลาย

 

และท้ายที่สุด ระเบิดที่โยนลงไปกลายเป็นว่าทั้งซีนนั้น หากเป็นคู่แข่ง เราคงสะพรึงในเมนเทอร์ซอนย่ามาก เพราะมันคือการประกาศศักดาครั้งใหญ่ว่าเมนเทอร์ซอนย่าเอาจริง ฉันมาเล่นเกมแบบแฟร์ๆ และถ้าต้องตัดใครออก เขาก็ได้บอกเหตุผลไว้ล่วงหน้าแล้วว่าดูพฤติกรรมด้วย เพราะฉะนั้นถ้า เตือนแล้วยังทำ หากถูกตัดออกขึ้นมาก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าเมนเทอร์ซอนย่าได้แล้วนะ ทำตัวเองกันทั้งนั้น แถมเป็นการพูดในแบบที่สามารถลากคู่แข่งให้มาอยู่ในแฟร์เกมด้วยกันได้อีก เมนเทอร์คริสก็บอกว่า ต่อไปนี้ถ้าลูกทีมคนไหนทำตัวไม่ดีจะส่งเข้าห้องดำให้หมด เมนเทอร์บีก็ออกมาบอกว่าอยากให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเห็นคุณค่าของโอกาสที่ได้รับ ทุกคนพร้อมใจกันมาอยู่ในแฟร์เกมแบบที่แข่งกันด้วยฝีมือจริงๆ ตายๆๆ ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก ยิ่งดูยิ่งขนลุก!

 

นี่สิคือการเล่นใหญ่อย่างแท้จริง ระเบิดลูกเดียว แต่พลังทำลายล้างสูงมาก ไม่มีดราม่า แต่ได้ประโยชน์กันไปทุกทีมยันคนดู เกมแบบนี้สิถึงจะสนุก กราบแม่ซอนย่ากันสิทุกคน!

 

 

ที่ต้องชมอีกคนคือเมนเทอร์คริสที่สุดท้ายตัดสินใจไม่เอาใครออกเลย ด้วยเหตุผลว่าทีมคริสโชคดีที่ผลงานออกมาดี แต่ด้านพฤติกรรมนั้นเราพ่ายแพ้และไม่สมควรชนะเลย นี่ก็เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดเช่นกัน คือแทนที่จะเลือกฉวยโอกาสตัดทีมอื่นเมื่อตัวเองได้เปรียบด้วยการเหยียบซ้ำ แต่เลือกสิ่งที่ถูกต้องและยอมรับจุดบกพร่องของทีมแบบที่ถ้าลูกทีมได้เห็นเมนเทอร์ตัวเองทำขนาดนี้ก็สมควรต้องละอายและปรับปรุงตัวได้แล้ว และต้องชมเมนเทอร์คริสด้วยว่าเมื่อเห็นพฤติกรรมของลูกทีมที่ไม่ดีก็ตักเตือน ไม่ปล่อยผ่าน

 

อีพีนี้เราได้บทเรียนกันเยอะมากจริงๆ ถ้าใครมองเห็นจุดอื่นที่นำไปเรียนรู้ได้อีกก็จะเป็นประโยชน์มากๆ สัปดาห์หน้าเราจะได้เรียนรู้อะไรจาก The Face Thailand Season 4 All-Stars ที่เอาไปใช้กับการทำงานของเราได้อีก ติดตามได้ที่ THE STANDARD กับท้อฟฟี่ แบรดชอว์ ครับ  

 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising