‘ดอกเบี้ยขาขึ้น’ ของสหรัฐฯ เป็นแนวโน้มที่อยู่กับตลาดมาพักใหญ่ จนถึงปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับขึ้นเหนือ 5.25% สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ใกล้ถึงระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มองว่าเหมาะสม
แม้นักวิเคราะห์ในตลาดยังเห็นต่าง บ้างก็มองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าเงินเฟ้อจะลดลงต่ำกว่าเป้าหมาย ขณะที่บางสำนักเริ่มมองว่า Fed ควรหยุดเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแล้ว
แต่สำหรับนักลงทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่การทายว่าดอกเบี้ยจะจบที่เท่าไร แต่เป็นการรู้ให้ทันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระดับ 1-2% จะเกิดขึ้นทิศทางไหน
เมื่อไรที่ Fed มีโอกาส ‘หยุด’ เมื่อไรจะพลิกกลับไป ‘ลด’ ดอกเบี้ย พร้อมกับประเมินไว้ก่อนว่าตลาดการเงินควรตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างไร
ในมุมมองของผม ‘เงินเฟ้อ’ คือตัวแปรสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสจบขาขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 3 แต่อาจไม่เพียงพอที่จะลดดอกเบี้ยลงทันทีในปีนี้
เหตุผลสำคัญมาจากองค์ประกอบของ Personal Consumption Expenditures (PCE) หรือเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ Fed ใช้ในการตัดสินใจ
ใน PCE มีสัดส่วนราคาสินค้าและราคาที่พักอาศัยราว 25% และ 15% ทั้งคู่กำลังปรับตัวลง และมองในแง่ผลกระทบของดอกเบี้ย ราคาคงไม่สามารถกลับมาสูงขึ้นได้เร็วในระยะสั้น แต่ค่าใช้จ่ายด้านบริการและสาธารณสุขที่มีสัดส่วนรวมกันถึงราว 60% กลับทรงตัวในระดับสูงกว่าปกติจากแรงงานที่ตึงตัว
ปลายปีนี้เราจะเห็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงเพียงพอให้ ‘หยุด’ ขึ้นดอกเบี้ยแน่ แต่สิ้นปีเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบ 3.3-3.9% ยังไม่เพียงพอให้ลดดอกเบี้ยลงทันที
ดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อไรจึงอยู่ที่ตัวแปรที่ 2 อย่าง ‘ตลาดแรงงาน’
ผมมองว่าจุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวขึ้นของตัวเลขการว่างงานสหรัฐฯ กลับไปที่ระดับ 4.0% หรือสูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด
จากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (BLS) และ Haver Analytics พบว่า ระดับการว่างงานจะปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง 4.0% ในช่วงปลายปีได้นั้น จะต้องมีอัตราการเลิกจ้างเฉลี่ยที่ 2.0-2.5% ราวหนึ่งไตรมาสเป็นอย่างน้อย
มองจากแนวโน้มก่อนโควิดถือว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่กระแสการ Reopening ล่าสุดกลับทำให้การเลิกจ้างน้อยผิดปกติ (เหลือเพียงราว 1.0%)
อาจต้องรอให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทยอยหมดลงในช่วงไตรมาส 3 โอกาสที่การว่างงานจะกลับขึ้นไปในระดับที่ Fed สามารถ ‘ลด’ ดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นได้ในไตรมาส 4
แม้ตัวแปรเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกนับจากนี้ แต่ผมเชื่อว่าจุดหักเหของดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่สำคัญ และควรคิดกลยุทธ์รับมือใน 3 กรณี
1. Fed จบดอกเบี้ยขาขึ้นในกรอบ 5.25-5.75% และคงดอกเบี้ยไปอย่างน้อยถึงไตรมาสแรกปีหน้า
เป็นกรณีที่จะเกิดขึ้นถ้าเงินเฟ้อลดลงช้าและตลาดแรงงานร้อนแรง รวมกันเป็นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ถดถอย (No Landing) เงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวนำหน้าสหรัฐฯ
กรณีนี้เป็นบวกกับหุ้นเทคโนโลยี หุ้นใหญ่ สินทรัพย์ทางเลือกอาจต้องระมัดระวังสูง ทั้งน้ำมัน ทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอสังหาที่อาจพบความเสี่ยงจากการรีไฟแนนซ์
2. ดอกเบี้ยจบขาขึ้นปีนี้ และการว่างงานสูงขึ้นในไตรมาสที่ 4
กรณีนี้แม้ทุกอย่างจะเป็นไปตามคาด แต่การวางกลยุทธ์รับมือไม่ง่าย เพราะมีจังหวะหักมุมอย่างชัดเจนอยู่ที่ตัวเลขฝั่งตลาดแรงงานที่จะเปลี่ยนจากดีเป็นแย่ในพริบตา
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ การย้ายไปลงทุนในหุ้น Developed Market นอกสหรัฐฯ แต่ต้องเป็นที่ที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์ระยะสั้นที่มีโอกาสปรับตัวลง ขณะที่แรงส่งของตลาดจะมาจากความหวังการลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2024 เป็นบวกกับสินทรัพย์ทางเลือกตั้งแต่ทองแดง น้ำมัน ไปจนถึงทองคำ
3. สุดท้ายคือเศรษฐกิจถดถอย และ Fed ลดดอกเบี้ยในปลายปีนี้
ด้วยภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โอกาสของกรณีนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อมีวิกฤตไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นในสหรัฐฯ (Hard Landing) แต่กลับเป็นกรณีที่วางกลยุทธ์รับมือง่ายที่สุด
เพราะธีมหลักจะพลิกไปเป็นการอ่อนค่าของดอลลาร์ หุ้นในฝั่งของตลาด Emerging Market (EM) มีโอกาสฟื้นตัวสวนทางทันที แรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดอย่างรวดเร็ว ขณะที่การกลับทิศของ Fed จะเปิดช่องให้ธนาคารกลางอื่นๆ สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นบวกกับ EM Debt พร้อมกัน
โดยสรุป ผมมองว่าจุดสิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้นในสหรัฐฯ จะต้องเกิดขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้แน่นอน
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยจะจบระดับไหนหรือเมื่อไร แต่อยู่ที่เหตุผลของจุดสิ้นสุดด้วย กลยุทธ์และทิศทางของตลาดการเงินจะแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามเหตุเหล่านี้ และเราสามารถเริ่มเตรียมพร้อมรับมือได้แล้วครับ
ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ สูงที่สุดในรอบ 17 ปี
อ้างอิง:
- Bloomberg และ CGS Macro and Wealth Research