×

คนยุคนี้ต้องการข่าวแบบไหน ฟังคำตอบจากคนข่าวตัวจริงแห่งไทยรัฐนิวส์โชว์ [Advertorial]

04.07.2018
  • LOADING...

‘ทีวีตายแล้ว’ เหมือนจะเป็นวลีที่เราได้ยินกันบ่อยขึ้นในช่วงไม่กี่ปีให้หลังที่ผ่านมานี้ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพียงคำพูดที่เกิดขึ้นจากการคาดการณ์และประเมินตามตัวเลขรายได้จากการโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ ซึ่งถึงแม้ในแต่ละปีกำไรอาจจะหดหายไปบ้าง ทั้งนี้ยังไม่รวมการก้าวเข้ามามีบทบาทของโซเชียลมีเดียในวันที่ใครก็ต่างสามารถเป็นเจ้าของสื่อได้ ซึ่งมีส่วนทำให้ความแข็งแรงของวงการจอแก้วยวบยาบลงไปได้อีก

 

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เลิกดูโทรทัศน์สักหน่อย จริงไหม? เพราะอย่างน้อยๆ เราเองก็ต่างมีพฤติกรรมที่คุ้นเคยอยู่ทุกวัน ไหนจะต้องดูข่าวเช้า กลับมาตอนค่ำดูละคร หรือดูรายการโปรดของคุณ และคำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า แล้วคนดูทีวียุคนี้ต้องการอะไร?

 

 

แน่นอนว่าปัจจัยการหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดโทรทัศน์สักครั้งหนึ่ง ชนิดที่ดูสดๆ งดย้อนหลังย่อมต้องเป็นโปรแกรมสำคัญที่ผู้ชมเฝ้ารอติดตามอย่างใจจดใจจ่อ และหนึ่งในรายการทีวีล้านแปดโปรแกรมบนจอ การมีอยู่ของ ไทยรัฐนิวส์โชว์ คือการบ่งบอกถึงพฤติกรรมการบริโภคของผู้ชมโทรทัศน์ที่น่าสนใจที่สุดรายการหนึ่ง ทั้งการเป็นรายการข่าวที่มีตัวเลขเรตติ้งกระเตื้องขึ้นตลอดในปีที่ผ่านมาอย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็น ‘รายการข่าว’ ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่ชนกับละครช่องใหญ่ แต่สามารถปรุงแต่งรสชาติให้ถูกปากผู้ชมได้ไม่แพ้ละครจานหลักที่น่าจะเป็นสิ่งถูกปากชาวบ้านมากกว่า

 

 

THE STANDARD มีโอกาสเข้ามานั่งพูดคุยกับสองคนข่าวตัวจริงจากรายการ ไทยรัฐนิวส์โชว์ ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 เพื่อล้วงลึกและเลาะวิธีคิดการทำงานของทีมและตัวตนของพวกเขา ทั้ง อุ๋ย-ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ผู้คร่ำหวอดในวงการข่าวมากว่า 21 ปี และอีกคนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่าง มิลค์- เขมสรณ์ หนูขาว อดีตสาว ‘เสียดาย’ ที่ล้างภาพการเป็นนักแสดงอย่างหมดจด และผันตัวมาทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวได้อย่างยอดเยี่ยม ลองกดรีโมตไปรู้จักพวกเขากันสักหน่อย

 

รายการ ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ คือการร่วมงานกันครั้งแรกของคุณทั้งสองคน

ภาคภูมิ: ใช่ครับ เราไม่เคยร่วมงานกันเลยนะ ส่วนใหญ่เจอกันตามงานข้างนอก งานประชุม สัมมนา ยกช่อฟ้า ตัดริบบิ้นต่างๆ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ผมเคยจีบเขามาสองครั้งแล้วให้มาทำงานร่วมกัน

 

เขมสรณ์: เราแทบจะไม่ได้จูนอะไรกันเลย โอเคว่าเรามีการซ้อมคิวกันนิดหน่อย ไฟ หรือมุมกล้องเป็นอย่างไร ซ้อมกันอยู่วันสองวัน ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติ แทบไม่ได้จูนอะไรกันเลยค่ะ แต่วันแรกๆ ที่อ่านกันจริงๆ ก็ตื่นเต้น

 

ภาคภูมิ: แต่เขาดูแลผมดีมากเลยนะ ในฐานะรุ่นพี่ที่ทำงานกับไทยรัฐทีวีมาก่อน

 

เขมสรณ์: ดิฉันก็เดินไปรับที่รถเลยค่ะ พาไปเดินชมสถานที่ เหมือนเป็นไกด์ หลังๆ มาก็จะมีผู้ชมส่งข้อความเข้ามาว่าชอบเราสองคนอ่านข่าวด้วยกันนะ เหมือนคู่ขวัญสรพงษ์-จารุณี (หัวเราะ)

 

ภาคภูมิ: เราสองคนทำงานมานานมาก จนไม่มีความรู้สึกของการชิงดีชิงเด่นกัน เราก็แบ่งข่าวกันตามปกติ ใครอ่านก่อนอ่านหลัง และพี่เชื่อว่ามิลค์คงรู้สึกเหมือนพี่

 

เขมสรณ์: เหมือนเราไปด้วยกัน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เราเป็นปลายทางของทีมงาน เราจะเอารายการมาเป็นตัวประกันไม่ได้

 

ภาคภูมิ: บางข่าวที่ยาวๆ และเราสองคนต้องรับผิดชอบ 7-8 หน้า เราไม่ได้รู้สึกว่า เดี๋ยวจะใส่ให้เต็มที่เลย จะขยี้ จะเค้นคนเดียว (หัวเราะ) แต่เรามีความรู้สึกว่า เราจะแชร์กันอย่างไรให้เราทั้งคู่ไม่จมหายไปจากจอ

 

เขมสรณ์: และทั้งทีมเราเป็นแบบนี้หมดเลยนะ มีความธรรมชาติสูง คนดูจะได้เข้าถึงเราได้ง่ายๆ บางทีก็หัวเราะตอนออนแอร์ “ดิฉันลืม ดิฉันเหม่อค่ะ” (หัวเราะ)

 

 

ในฐานะที่คุณทั้งสองต่างทำงานในวงการโทรทัศน์และการทำงานข่าวมาอย่างยาวนาน คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้ชมในยุคนี้ต้องการจากรายการข่าว

ภาคภูมิ: สำหรับผม ผู้ชมต้องการรู้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริง และถ้าเป็นเรื่องจริงแล้ว แล้วมันเป็นอย่างไรต่อ ถ้าถามว่าระหว่างวันก่อนจะกลับมาถึงบ้าน หรือเดินทางไปถึงที่ทำงาน พวกเขารู้ข่าวนี้ไหม รู้ข่าวนั้นไหม พวกเขารู้ เพราะพวกเขาติดตามตลอดจากโทรศัพท์มือถือบ้าง จากอินเทอร์เน็ตบ้าง แต่ทั้งหมดมันเป็นแค่เนื้อความไม่กี่บรรทัด ผมเชื่อว่าคนไทยยังคงยึดมั่น ยังคงรู้สึกว่าการได้ดูข่าวจากโทรทัศน์นั้นเป็นความจริงที่สุด

 

เขมสรณ์: ด้วยความที่ยุคสมัยมันเปลี่ยน คนได้รับข้อมูลข่าวสารเยอะมาก บางทีเขามีข้อมูลเยอะมากกว่าเราอีกด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ชมต้องการจากรายการข่าวคือการนำเสนอสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อ ซึ่งเล่าผ่านกระบวนการที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว และมิลค์คิดว่าวิธีการนำเสนอก็สำคัญ เพราะการที่จะทำให้คนเปิดทีวีแล้วหยุดดูรายการเราเป็นเรื่องยากมาก องค์ประกอบมันค่อนข้างเยอะ เพราะการทำข่าวมันคือการเลือกความสนใจของมนุษย์ขึ้นมานำเสนอ และแน่นอนว่าทุกช่องเขาก็เลือกข่าวเหมือนเรานั่นแหละ (หัวเราะ) แต่ว่าเราจะนำเสนออย่างไรให้น่าชม

ด้วยความที่ยุคสมัยมันเปลี่ยน คนได้รับข้อมูลข่าวสารเยอะมาก บางทีเขามีข้อมูลเยอะมากกว่าเราอีกด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ชมต้องการจากรายการข่าวคือการนำเสนอสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อ ซึ่งเล่าผ่านกระบวนการที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว แต่การจะทำให้คนเปิดทีวีแล้วหยุดดูรายการเราเป็นเรื่องยากมาก

กระบวนการในการเตรียมข่าว วิธีคิด และการทำงานของ ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ เป็นอย่างไร

ภาคภูมิ: นึกย้อนเมื่อก่อนสมัยที่เทคโนโลยียังไม่ทั่วถึงเท่าวันนี้ ทุกคนต้องมาเจอกันที่สถานี นั่งโต๊ะประชุมแล้วก็คุย และออกไปหาแหล่งข่าว แต่เดี๋ยวนี้เราส่งข้อมูลกันทางแอปพลิเคชัน เรามีกรุ๊ปนู่นกรุ๊ปนี่ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีบทบาทหน้าที่ของตัวเอง นำข่าวและความคิดเห็นมาแลกเปลี่ยนกัน ถกเถียงกันว่าตกลงเรื่องนี้จะเอาหรือไม่เอามานำเสนอ คุยกันเบื้องต้นเพื่อคัดสรรข่าว พอมาถึงที่ทำงาน เราก็จะสรุปกันว่าเราได้ข่าวมากแค่ไหน เป็นไปตามเป้าหรือเปล่า และมาหาธงหลักของเราว่าวันนี้ประเด็นไหนจะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งหน้าที่หลักของเราคือต้องเตรียมตัว หาข้อมูลเพิ่มเติม เราก็มาอ่าน เพื่อความถูกต้องกันอีกที

 

เขมสรณ์: ด้วยความโชคดีของมิลค์เองที่เคยได้อ่านข่าวเช้ามาก่อน ซึ่งเราก็มีลักษณะของการนำเสนอเป็นการเล่าข่าวอยู่แล้วระดับหนึ่ง พอบวกกับคาแรกเตอร์ของตัวเอง เราก็เล่าให้เป็นตัวเองที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือทำการบ้าน เล่าด้วยความเข้าใจ ถ้าเกิดเรามาหวังพึ่งสคริปต์ มันจะไม่สมูธ ถ้าเป็นแบบนั้นใครๆ ก็เล่าได้ ซึ่งมิลค์เองก็ต้องหาประเด็นข้างเคียงมาเพื่อสอดรับกับเรื่องที่จะเล่าด้วย

 

 

ในความคิดเห็นของคุณทั้งสอง ความโดดเด่นของข่าวแบบ ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ คืออะไร

ภาคภูมิ: ในช่วงที่ผ่านมารายการของเรามีการปรับกลยุทธ์ จากที่เป็นรายการข่าวที่นำเสนอเชิงข่าวนโยบายเสียเยอะ ดูเป็นทางการ เป็นข่าวในระดับมหภาค เศรษฐกิจ การเมืองต่างๆ ปัจจุบันเราได้ปรับให้ข่าวของเรามีความเข้าถึงคนดูมากขึ้น อย่างที่ทราบกันว่าไทยรัฐก็คือหนังสือพิมพ์อันดับต้นๆ ของเมืองไทยมานาน ดังนั้น ไทยรัฐนิวส์โชว์ ก็เหมือนการได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นข่าวที่ชาวบ้านจับต้องได้และครบรส เคยมีคนถามว่าไทยรัฐทำไมชอบนำเสนอข่าวหวย ข่าวหวยอีกแล้ว ไม่ทำอย่างอื่นบ้างเหรอ

 

เขมสรณ์: คนไทยเล่นหวยตั้งกี่แสนกี่ล้านคนล่ะ คิดดูสิคะ มันคือวิถีชีวิต มันคือความเป็นไทยจริงๆ ที่เกิดขึ้น

 

ภาคภูมิ: มันคุยได้เยอะแยะเลยในประเด็นนี้ ตั้งแต่ชาวบ้านไปขูดหวย ไปจนถึงเรื่องหวยใต้ดิน หวยบนดินว่าจะจัดการกันอย่างไร และพอเวลาข่าวพวกนี้มาอยู่ใน ไทยรัฐนิวส์โชว์ เราจะใช้การอธิบายข่าวแบบเห็นภาพ อย่างการใช้ Immersive Graphic ที่ช่วยเล่าเรื่องได้ยอดเยี่ยมมาก เพราะเราคงไม่สามารถไปยืนอยู่กลางพายุแล้วรายงานข่าวได้ หรือบางเหตุการณ์หรือบางเรื่องที่มีตัวละครเยอะ เราก็ใช้กราฟิกเข้ามาช่วยอธิบายได้ชัดเจนขึ้น มันคือการเสริมกันระหว่างข่าวชาวบ้านและเทคโนโลยี นำมาประยุกต์กันและปรุงให้มันกลมกล่อม เพื่อที่จะได้ให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ชัดเจนและตรงไปตรงมา

 

เขมสรณ์: อีกสิ่งที่มิลค์รู้สึกว่ามันคือจุดแข็งของเราคือ การที่เรามีผู้สื่อข่าวไทยรัฐตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ (ในทีนี้ทางไทยรัฐเรียกว่า ขทร. ซึ่งมาจากคำว่า ‘ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ) หากเวลาเรามีประเด็นอะไรขึ้นมาและเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการเข้าถึงแหล่งข่าว กลุ่มคนเหล่านี้จะรีบตรงเข้าไปทำข่าวทันที นี่คือข้อได้เปรียบของเรา

 

 

เราพบว่า ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ ได้เรตติ้งผู้ชมสูงขึ้นเรื่อยๆ คุณเขมสรณ์รู้สึกอย่างไรในฐานะที่คุณอยู่กับรายการนี้มาตลอด 4 ปีเต็ม

เขมสรณ์: ในฐานะที่มิลค์อ่านข่าวตรงนี้มาตั้งแต่วันแรก เราสู้มาตลอด เพราะเราเชื่อว่าจะมีกลุ่มคนที่เลือกไม่ดูละคร และเขาจะเลือกดูข่าว ซึ่งมันค่อนข้างเสี่ยง แต่เชื่อไหมว่า ไทยรัฐนิวส์โชว์ เป็นรายการที่เรตติ้งดีที่สุดของสถานี เราก็รู้สึกว่ามันถูกที่ถูกทาง มันมีนะกลุ่มคนที่ไม่ดูละครและอยากดูข่าวจริงๆ แต่มันก็ขึ้นๆ ลงๆ ด้วยจังหวะ แต่ถือว่าเรตติ้งไม่ขี้เหร่ แต่เราเองก็อยากให้มันดีกว่านี้ และในตอนนี้พี่อุ๋ยช่วยเราได้เยอะ ช่วยทั้งเบื้องหลังเบื้องหน้า ช่วยส่งเสริมกัน

 

ภาพของสื่อในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ทีวีจะตายไหม และบทบาทของโซเชียลมีเดียส่งผลอย่างไรกับผู้ชมในความคิดเห็นของคุณ

ภาคภูมิ: ทุกเรื่องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ปัจจุบันผมว่าคนไทยเริ่มตกผลึกแล้ว เขารู้ว่าอะไรคืออีเจี๊ยบ แหม่มโพธิ์ดำ อะไรคือเพจสายดาร์กที่ใช้คำพูดที่มันฮาร์ดคอร์ แต่สำหรับเรา เราคือข่าวหลัก เราคือสื่อกระแสหลัก ทีวีมันไม่ตายหรอก ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่ามันจะอยู่ยั้งยืนยง เพราะคนจะเสพ YouTube เอย Facebook เอย ได้แค่เพียงเท่านี้ต่อวัน เพราะช่องทางเหล่านั้นมันมีมาตรฐานของมัน มีข้อจำกัดของมัน อีกอย่างผมมองว่าประเทศไทยของเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนจะอายุเยอะขึ้น ให้คนรุ่นเรามานั่งสไลด์มือถือทั้งวันคงอาจจะไม่ไหว คงเมื่อยมือ ปวดตา สุดท้ายก็ต้องกลับมาดูทีวี

 

เขมสรณ์: มันเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นข้อดีนะ เราสามารถรับรู้ข่าวสารได้หลายช่องทาง มิลค์เชื่อว่าทีวีมันไม่ตาย แต่มันไม่ง่าย คนคงไม่เปิดทีวีทิ้งไว้ทั้งวันแล้ว เขาจะเปิดเฉพาะสิ่งที่เขาอยากดูเท่านั้น และการที่คนจะจดจำเรามันยากมาก เพราะทีวีมีรายการนั่นนี่เยอะแยะมาก คนทำงานทีวีเลยต้องเหนื่อยหน่อย แต่มันคุ้มค่าสำหรับผู้ชมมาก เราผ่านกระบวนการและให้ความสำคัญกับข่าว และคนดูจะรู้สึกอิ่มเอมกับสิ่งที่เรานำเสนอ สิ่งที่เราทุ่มเท เพราะเราให้ความสำคัญจริงๆ

 

ภาคภูมิ: เห็นด้วยกับมิลค์นะ คนจะเลือกดูรายการที่เขาอยากดู ไม่มีสถานีไหนที่ดังทั้งวัน ถ้าเขาอยากดูข่าวเรา เขาก็จะดู ดูเสร็จก็จะไปที่อื่น

 

 

คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นที่ผู้เสพข่าวมองว่า ข่าวโทรทัศน์ทุกวันนี้ล้วนเอาข่าวมาจากโซเชียลมีเดียทั้งนั้น

ภาคภูมิ: สำหรับผมมันคือการเปลี่ยนแปลงของแหล่งข่าว คนใช้ชีวิตกับโซเชียลมีเดีย เพราะฉะนั้นเรื่องข้างในโลกนั้นคือสิ่งที่เขาเสพกัน แต่แน่นอนว่าเราจะคัดเลือกก่อนนะ สำหรับไทยรัฐทีวี ชื่อมันใหญ่เกินกว่าที่เราจะสามารถเอาทุกๆ อย่างมานำเสนอ เราจึงมีการทบทวนกันว่าคุณค่าของข่าวมีมากน้อยแค่ไหน สมควรแก่การนำขึ้นมาขยายต่อหรือเปล่า อย่างตอนประเด็นร่างทรง 4G ทีมของเราเล่นข่าวนี้คนแรกนะ

 

เขมสรณ์: คุณแสงสุริยะเทพน่ะเหรอ (หัวเราะ) วันแรกๆ เรายังคุยกันเลยว่า คนจะเข้าใจเราไหม ตอนนั้นยังไม่มีแหล่งข่าวอะไรเลย เรายังหาตัวเขาไม่ได้ แต่เราก็ต้องนำเสนอไปก่อนว่า ตอนนี้ในสังคมเรามีสาวร่างทรง 4G นะ แล้วทีมข่าวเราก็ตามให้ต่อ จากนั้นก็กลายเป็นซีรีส์เปิดเผยพฤติกรรมของร่างทรงทั่วประเทศไปเลย

บางครั้งมีเส้นคาบเกี่ยวบางๆ อยู่ เช่น บางข่าวถ้าเอามาออกหวือหวาแน่ แต่คุณค่าของข่าวมันถึงหรือเปล่า แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร เดี๋ยวนี้คนดูเขาเร็วนะ ถ้าพลาดเขาจะไม่เชื่อมั่นในตัวคุณเลยทันที

 

จรรยาบรรณของสื่อยุคใหม่ในความคิดเห็นของทั้งสองคนเป็นอย่างไร

ภาคภูมิ: ผมว่าสื่อไหนก็ตาม ทุกคนมีจรรยาบรรณของตัวเองหมด คนเสพข่าวเขาถึงเลือกได้แล้วว่าข่าวแบบไหน เรื่องแบบไหนคือสื่อชนิดไหน ทุกคนมีจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่อที่ทุกคนรู้ ทุกคนที่ทำงานด้านนี้ไม่มีใครตั้งใจทำให้ผิดจรรยาบรรณอยู่แล้ว แต่บางครั้งมีเส้นคาบเกี่ยวบางๆ อยู่ เช่น บางข่าวถ้าเอามาออกหวือหวาแน่ แต่คุณค่าของข่าวมันถึงหรือเปล่า แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร เดี๋ยวนี้คนดูเขาเร็วนะ ถ้าพลาดเขาจะไม่เชื่อมั่นในตัวคุณเลยทันที

เขมสรณ์: ถ้าเอาเฉพาะในสิ่งที่มิลค์ทำอยู่ ในการทำงานของมิลค์ มิลค์ค่อนข้างจะเป็นการนำเสนอแบบตรงประเด็น แต่มันก็คาบเกี่ยวมีการนำเสนอแบบแสดงความคิดเห็นบ้าง และมิลค์ก็จะคิดตลอด เพราะการที่เราจะพูดอะไรออกมา มันคิดหนักคิดเยอะ บางทีเราก็ไม่กล้าว่าพูดอันนี้จะดีไหม รู้สึกว่าจรรยาบรรณของมิลค์คือการมีกรอบในการใช้ความคิดเห็นระดับหนึ่งเสมอ

 

FYI

 

  • รายการ ไทยรัฐนิวส์โชว์ ดำเนินรายการโดย อุ๋ย-ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ และ มิลค์-เขมสรณ์ หนูขาว ออกอากาศทุกวันทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ตั้งแต่เวลา 20.10-22.10 น. เต็มอิ่ม 2 ชั่วโมงเต็ม (ยกเว้นวันศุกร์ เริ่มออกอากาศตั้งแต่เวลา 19.30 น. วันเสาร์และอาทิตย์ เริ่มออกอากาศตั้งแต่เวลา 20.25-22.15)
  • สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมและเป็นข้อมูลสนับสนุนความน่าสนใจของประเด็นการเลือก ‘รายการข่าว’ เพื่อแชร์ฐานคนดูในช่วงไพรม์ไทม์ ไทยรัฐนิวส์โชว์ มีเรตติ้งล่าสุดที่เราสามารถหาข้อมูลได้นั่นคือในคืนวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ในช่วงที่กระแสข่าวเรื่อง #ถ้ำหลวง เป็นสิ่งที่คนทั้งประเทศติดตามและให้ความสนใจ รายการ ไทยรัฐนิวส์โชว์ สามารถทำเรตติ้งสูงสุดอยู่ที่ 3.609 ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของข่าวค่ำดิจิทัลทีวี ทั้งๆ ที่แพร่ภาพชนกับแมตช์ฟุตบอลโลกถึง 2 คู่ และละครจากช่องใหญ่
  • อุ๋ย ภาคภูมิ เคยเป็นผู้ทำหน้าที่โค้ชให้กับผู้ประกาศข่าวหลายๆ ท่านในวงการ หนึ่งในนั้นคือ ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า พิธีกรรายการ THE STANDARD Daily ของเรา
  • งานอ่านข่าวครั้งแรกของ มิลค์ เขมสรณ์ คือการอ่านข่าวเช้าแทน จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และในปัจจุบันผู้ประกาศข่าวทั้ง 2 ท่านก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่ไทยรัฐทีวี โดยปัจจุบัน จอมขวัญ เป็นผู้ดำเนินรายการ ถามตรงๆ กับจอมขวัญ ออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เวลา 19.10-20.00 น. และวันศุกร์ เวลา 18.50 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32
  • ไทยรัฐทีวี ได้เรตติ้งสูงสุดในรอบ 4 ปีในวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เรตติ้งสูงสุด 2.116 เป็นอันดับ 1 ของทีวีดิจิทัล และเป็นอันดับ 2 ของฟรีทีวี (ซึ่งอันดับ 1 คือช่อง 7) ยอดเรตติ้งสูงสุดตั้งแต่เปิดสถานีมา
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X