ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยและผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ส่งผลให้ตลาดภูธรปี 2568 กลายเป็นสนามรบที่แบรนด์ต่างๆ มุ่งหน้าบุกเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล เนื่องจากกว่า 80% ของประชากรไทยอาศัยอยู่ในต่างจังหวัด ทำให้การแข่งขันในตลาดภูธรทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นทำให้แบรนด์ต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทรัพยากรที่จำกัด เน้นการตลาดที่คุ้มค่า สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน และสื่อสารแคมเปญที่เข้าถึงวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผู้บริโภคต่างจังหวัดกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ นี่คือ 10 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในการทำตลาดภูธรปี 2568 จากบริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด
กลยุทธ์แรกคือการ ‘เข้าใจ Insight คนภูธรแบบเจาะลึก’ โดยต้องเลิกมองว่าภูธรเป็นกลุ่มเดียวกันหมด แต่ละพื้นที่มีวิถีชีวิต ความเชื่อ และความต้องการที่แตกต่างกัน การใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมและการใช้สื่อทั้งออนไลน์และท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าใจถึงผลกระทบจากภัยพิบัติที่แต่ละพื้นที่ได้รับจะช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนการตลาดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
‘การทำแคมเปญที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่น’ เป็นกลยุทธ์ที่สอง โดยใช้ภาษา ภาพ และเรื่องราวที่สื่อถึงวิถีชีวิตท้องถิ่น รวมถึงการร่วมมือกับ Local Influencers เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ การใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความใกล้ชิด แต่ยังแสดงถึงความใส่ใจและเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง
กลยุทธ์ที่สามคือ ‘การสร้าง Content ที่ให้คุณค่า’ โดยเฉพาะเนื้อหาที่ช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่ เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือน้ำท่วม การจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น หรือแม้แต่การแนะนำวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นพิเศษในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
‘กลยุทธ์ Local Hero’ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ใช้ KOLs และศิลปินท้องถิ่นในการเข้าถึงผู้บริโภค โดยเฉพาะในด้านอาหารและการช้อปปิ้ง ที่สามารถสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนได้อย่างแท้จริง การเลือก KOLs ที่มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ต้องพิจารณาทั้งความนิยม ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
‘CSR สร้างความผูกพันกับชุมชน’ เป็นกลยุทธ์ที่ห้า ที่เน้นการช่วยเหลือสังคมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ผ่านการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในช่วงหลังน้ำท่วม การสนับสนุนการฟื้นฟูชุมชนจะสร้างความประทับใจและความผูกพันระยะยาว
กลยุทธ์ที่หกคือ ‘การใช้ AI สร้างแคมเปญที่ปรับตัวได้’ โดยใช้ AI Powered Business Intelligence Platform ในการวิเคราะห์และปรับแคมเปญให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
‘การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน’ เป็นกลยุทธ์ที่เจ็ด ที่เน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและสนับสนุนชุมชน เพื่อสร้างคุณค่าและความหมายให้กับการบริโภค รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่
กลยุทธ์ที่แปดคือ ‘การสร้างความร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น’ ผ่านการจัดกิจกรรมร่วมกับองค์กรในชุมชน การร่วมมือกับร้านค้าปลีก สหกรณ์ หรือตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ จะช่วยสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากชุมชน
‘การปรับการบริการลูกค้า’ เป็นกลยุทธ์ที่เก้า ที่เน้นการฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และการใช้พนักงานจากพื้นที่นั้นๆ การให้บริการที่เป็นกันเองและเข้าใจความต้องการของลูกค้าท้องถิ่นจะสร้างความประทับใจและความภักดีต่อแบรนด์
กลยุทธ์สุดท้ายคือ ‘การให้ชุมชนมีส่วนร่วม’ ในการกำหนดแคมเปญ โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนเลือกโครงการหรือกิจกรรมที่ต้องการสนับสนุน เช่น การซ่อมแซมสาธารณูปโภคที่เสียหายจากน้ำท่วม หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน
สำหรับการทำตลาดภูธรในปี 2568 ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีทางการตลาดที่ทันสมัย และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวิถีชีวิตท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงที่หลายพื้นที่กำลังฟื้นตัวจากผลกระทบของน้ำท่วมและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แบรนด์ต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูและพัฒนาชุมชน
การ ‘รู้เขา รู้เรา’ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้แบรนด์สามารถฝ่าวิกฤตและสร้างการเติบโตในตลาดที่ท้าทายนี้ได้อย่างยั่งยืน โดยต้องตระหนักว่าความสำเร็จในตลาดภูธรไม่ได้วัดกันแค่ยอดขาย แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชุมชนและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง