ปัจจุบันเราเห็นผู้ประกอบการไทยขนาดเล็กและขนาดกลางจำนวนไม่น้อยเข้าสู่การแข่งขันในตลาดสุรา ซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้ประกอบการเจ้าใหญ่มานานหลายทศวรรษ
คนทำเหล้าในแต่ละพื้นที่นำไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ และวัตถุดิบที่หาได้จากท้องที่ของตัวเองมาทำเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรูปแบบต่างๆ คล้ายการนำเสนอเรื่องราวสุราท้องถิ่นของญี่ปุ่น ที่แต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาค พยายามนำเสนอเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของตัวเอง
ซึ่งปี 2568 ถือเป็นปีที่สำคัญมากต่อวงการสุราไทย เพราะเราเพิ่งผ่านกฎหมายให้คนทำเหล้าทั่วประเทศสามารถผลิตสินค้าได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น มีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ทันยุคสมัยมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาต่างๆ ในอุตสาหกรรมนี้อาจไม่ได้หายไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง และการทำให้สุราท้องถิ่นไทยไปไกลได้อย่างญี่ปุ่น ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเสียทุกอย่าง
กฎหมายไทยกับขนาดขวดเหล้า
จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการรายย่อยถึงการประกอบธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย พบว่าสิ่งที่น่าสนใจนอกจากตัวบทกฎหมายเรื่องการทำเหล้า สิ่งนั้นคือ ‘บรรจุภัณฑ์’ ที่หลายคนไม่เคยรู้เงื่อนไขที่ว่านี้มาก่อน
ราชกิจจานุเบกษาของประกาศกรมสรรพสามิต ‘เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการผลิตสุราและการนำสุราออกจากโรงอุตสาหกรรมเพื่อตรวจวิเคราะห์ในขั้นตอนการผลิต’ เมื่อดูในมาตรา 3 จะพบว่าผู้ประกอบการรายย่อยอาจติดขัดในทางปฏิบัติหลายอย่างเรื่องขนาด เช่นในข้อ 3.1 ที่ระบุว่า
‘ให้ผู้ได้รับอนุญาตผลิตสุราแจ้งชนิดกับขนาดความจุของภาชนะและส่งตัวอย่างภาชนะที่ใช้บรรจุสุราตัวอย่างละ 1 ชนิดหรือขนาด ให้อธิบดีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนจึงจะนำไปใช้ได้’ และ ‘ให้มีขนาดภาชนะบรรจุไม่ต่ำกว่า 0.175 ลิตร เว้นแต่สุรากลั่นชนิดสุราขาว ให้มีขนาดบรรจุ 0.330 ลิตร หรือ 0.625 ลิตรขึ้นไป’
นั่นเท่ากับว่าสุราชุมชนที่เป็นสุราขาว จะมีขวดแค่ 2 ขนาดเท่านั้น คือขนาดที่คนทั่วไปเรียกว่าแบบแบน 0.330 ลิตร หรือ 330 มิลลิลิตร กับแบบกลม 0.625 ลิตร หรือ 625 มิลลิลิตร
ประเด็นนี้ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส. พรรคเพื่อไทย และประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต บอกเล่าสิ่งที่ได้ยินจากการชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อกรรมาธิการว่า เป็นข้อกำหนดที่มีมานานแล้ว และมี 2 เงื่อนไขใหญ่ๆ ด้วยกัน ข้อแรกคือเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงเวลาที่ออกข้อกำหนดดังกล่าว มีความกังวลว่าหากทำบรรจุภัณฑ์เหล้าในขนาดเล็ก คนจะเข้าถึงได้ง่ายเกินไป กับอีกข้อหนึ่งคือปัญหาด้านอากรแสตมป์
“ด้วยประกาศของกรมสรรพสามิตซึ่งเคยประกาศไว้นานแล้ว ทำให้สุรากลั่นทำได้แค่สองขนาดคือ 330 มิลลิลิตร กับ 620 มิลลิลิตร เพราะเดิมทีมีสองเงื่อนไข เงื่อนไขแรกคือไม่อยากทำขนาดบรรจุภัณฑ์เล็กเกินไป เพราะว่าในอดีตภาครัฐมีนโยบายไม่อยากให้ประชาชนเข้าถึงแอลกอฮอล์โดยง่าย
“ประเด็นที่สองคือการที่ผู้ประกอบการต้องติดแสตมป์อากร ซึ่งการติดในอดีตเป็นการไปซื้อแสตมป์มาติดที่บรรจุภัณฑ์ของตัวเอง การที่จะผลิตแสตมป์อากรที่ใช้งานทั่วประเทศ เลยมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดประเภทแสตมป์ไว้จำกัด เพราะหากมีหลากหลายไซส์จะกลายเป็นว่าเป็นภาระที่จะต้องผลิตแสตมป์หลากหลายรูปแบบ เลยกำหนดแค่ 330 กับ 620 ไปก่อน หลังจากนั้นก็ถูกใช้มาแบบนี้โดยไม่ได้มีการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนแนวคิด”
ชนินทร์มองว่าประเด็นขนาดขวดสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เข้ากับบริบททางสังคมได้ โดยเน้นไปยังการกำกับและควบคุมดูแล การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดจริงจัง เพื่อไม่ให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดมากกว่า
การคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ในอนาคตก็เรื่องหนึ่ง เวลานี้ผู้ประกอบการรายย่อยยังคงติดขัดกับข้อกฎหมายดังกล่าว เพราะหากผู้ประกอบการต้องการทำขวดนอกเหนือที่กฎหมายกำหนด เช่น อยากทำเหล้า 650 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นขนาดที่กรมสรรพสามิตไม่ได้มีแบบขวดอยู่แล้ว พอจะไปลงทะเบียนแล้วเอาขวดไปให้ตรวจสอบ กลายเป็นเวลาพวกเขาต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือน แม้ดีไซน์ขวดจะไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเลยก็ตาม
ผู้ประกอบการได้ตัวอย่างอีกว่า หากเขาเป็นคนทำเหล้าที่อยู่จังหวัดปัตตานี และต้องส่งขวดมาตรวจยังกรมสรรพสามิตที่อยู่กรุงเทพฯ เมื่อขวดถูกส่งมาถึงก็จะถูกวางไว้อยู่อย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนย้ายไปยังหน่วยงานในกรมสรรพสามิตที่ทำหน้าที่ตรวจสอบขวด พอโทรไปสอบถามความคืบหน้าเจ้าหน้าที่จะให้เหตุผลว่า แม้จะอยู่ในกรมฯ เดียวกัน แต่พวกเขาไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการแกะกล่องหรือย้ายไปยังหน่วยงานที่ตรวจสอบ กลายเป็นว่าผู้ประกอบการหลายเจ้าต้องเดินทางมายังกรมสรรพสามิตเพื่อยื่นกล่องไปยังหน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องขวดด้วยตัวเอง
จากการที่หน่วยงานย่อยในกรมฯ ต่างปัดความรับผิดชอบ แล้วต้องรอการตรวจสอบนานกว่า 6 เดือน จึงจะเริ่มเตรียมบรรจุเหล้าใส่ขวดแล้ววางขาย กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลานานและส่งผลกระทบอย่างหนักสำหรับผู้ประกอบกิจการรายย่อย หากต้องรอการทำงานของรัฐนานครึ่งปี คงเป็นเรื่องยากที่สังคมไทยจะได้เห็นความหลากหลาย หรือได้เห็นผู้ประกอบการเจ้าใหม่ๆ เฉิดฉายในตลาดแอลกอฮอล์
ทางฝั่งของชนินทร์ เขาระบุว่าไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนในกรณีที่ว่านี้เท่าไรนัก แต่ก็สอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งหน้าที่ของสรรพสามิตคือการตรวจสอบขวดที่มีอยู่ 3 ปัจจัยใหญ่ ได้แก่
- ตรวจสอบว่าขวดสามารถบรรจุสุราได้ตามเกณฑ์
- ตรวจสอบว่าสะอาด ปิดได้มิดชิด และติดสลากได้
- ตรวจสอบวัสดุที่ใช้ทำขวดเพื่อให้แน่ใจว่าหลังบรรจุแอลกอฮอล์จะไม่มีการปนเปื้อนภายหลัง
ชนินทร์กล่าวต่อว่า สิ่งที่กรมสรรพสามิตทดสอบไม่ใช่อะไรที่จะต้องใช้เวลานาน แต่ถ้ามีกรณีที่ใช้เวลานานเกินไป สิ่งที่ควรทำคือการปรับปรุงกฎระเบียบ เพราะเวลานี้มีแค่การกำหนดขั้นต่ำว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 วัน แต่ไม่ได้มีการกำหนดเวลาขั้นสูงว่าควรตรวจแล้วอนุมัติภายในกี่วัน อีกแง่หนึ่งคือการปรับ KPI ของข้าราชการในอีกรูปแบบหนึ่ง
นอกเหนือจากประเด็นกำหนดขวดบรรจุภัณฑ์เพียงสองขนาด หรือปัญหาล่าช้าจากหน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการรายย่อยแสดงความคิดเห็นอีกว่า สิ่งที่คนทำเหล้าหน้าใหม่ในตลาดเหล้าไทยต้องการคือการทำเหล้าขนาดเล็ก หรือที่เรียกกันว่าขนาดเทสเตอร์ เพื่อให้นักดื่มที่อยากดื่มสุราชุมชนทดลองไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมากเกินไปเพียงเพื่อทดลองดื่ม หรือทำเหล้าขนาดเล็กเป็นกิฟต์เซ็ตของฝากประจำจังหวัด ตอนนี้ก็ไม่สามารถทำได้
แต่ในข้อห้ามก็มีข้อยกเว้น เพราะหากเดินดูในร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน จะพบว่าบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่สามารถผลิตเหล้าขวดเล็กจิ๋วจำหน่ายได้ โดยระบุว่าเป็นสินค้าส่งออก ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยในไทยตั้งคำถามว่านี่คือการกีดกันทางการค้าหรือไม่
“ผมมองเห็นลักษณะเดียวกัน เราควรจะเปิดกว้างให้มันมีการทำรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งในกรรมาธิการให้ข้อสังเกตตัวนั้นแนบไป เชื่อว่าน่าจะมีการปรับปรุงออกมา ด้วยแนวนโยบายของรัฐบาลที่อยากส่งเสริมสุราชุมชนให้เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออก และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ส่งเสริม Soft Power จึงต้องพูดถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่จะทำให้ส่งออกไปได้มากขึ้น” ชนินทร์ระบุ
ปัญหาของ ‘คนทำเหล้า’ กับ ‘โรงงานเป่าขวด’
ผู้ประกอบการสุรารายหนึ่งเล่าว่า นอกจากกฎหมายที่กำหนดบรรจุภัณฑ์ พวกเขายังเผชิญกับปัญหาระหว่างคนทำเหล้ากับโรงงานเป่าขวด เนื่องจากโรงงานผลิตขวดขนาดใหญ่มักมีสัญญาร่วมกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย หรือมิหนำซ้ำ โรงงานผลิตขวดส่วนใหญ่ก็คือบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกับบริษัทเหล้าเบียร์เจ้าใหญ่ของไทย
เมื่อคนทำเหล้ารายย่อยติดต่อโรงงานให้ผลิตขวด พวกเขาจะพบว่ามีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถทำได้ เริ่มตั้งแต่การที่โรงงานชี้แจงว่าไม่สามารถผลิตขวดที่มีดีไซน์แตกต่างจากขวดเหล้าของบริษัทเหล้าเจ้าใหญ่ได้ ต่อด้วยการติดปัญหาเรื่อง MOQ หรือปริมาณการสั่งซื้อหรือสั่งผลิตขั้นต่ำ ที่โรงงานแจ้งว่าต้องแตะหลักหนึ่งแสนใบ ไม่รวมกับการทำโมลด์ (Mould) หรือเบ้าพิมพ์สำหรับขึ้นรูปให้เป็นบรรจุภัณฑ์ ที่มีราคาสูงถึง 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ไหนจะระยะเวลาการผลิตที่โรงงานแจ้งว่าจะต้องรออย่างน้อย 1-2 ปี ถึงจะได้ขวดที่สั่งไว้ เพราะโรงงานต้องผลิตขวดให้บริษัทแม่ก่อน
ด้วยข้อจำกัดเรื่องแรงม้าและกำลังการผลิตตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยบางเจ้าผลิตเหล้าได้ปีละ 7 พันขวด บางเจ้าที่มีชื่อเสียงผลิตได้ประมาณ 3-4 หมื่นขวดต่อปี แต่หากจะทำขวดในไทยก็ต้องสั่งขวดมาเตรียมไว้ก่อนถึง 1 แสนใบ และต้องรอประมาณ 1-2 ปี เท่ากับว่าคนทำเหล้ารายย่อยต้องสต็อกขวดเปล่าไว้ล่วงหน้าถึง 3 ปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับการทำธุรกิจที่จำเป็นต้องคำนวณกันแบบปีต่อปี
ผู้ประกอบการสุรารายหนึ่งที่ทำโรงเหล้า เคยพูดคุยกับโรงงานทำขวด โรงงานถามว่าอยากได้ขวดทรงไหน พอผู้ประกอบการแจ้งว่าอยากได้ขวดทรงจีน โรงงานกลับบอกว่าไม่ได้จะผลิตให้ แต่สามารถเป็นโบรกเกอร์นำเข้าขวดให้ได้ บทสนทนานี้สร้างความงุนงงต่อผู้ประกอบการโรงเหล้า เพราะเขาสามารถสั่งขวดจากจีนเองได้โดยไม่ต้องให้โรงเป่าขวดรับบทพ่อค้าคนกลาง
เมื่อติดต่อกับโรงเป่าขวดในไทยและมักได้คำตอบแบบนี้กลับมาเสมอ พวกเขาจึงรู้สึกว่านี่คือการปฏิเสธอย่างสุภาพของโรงงานเป่าขวด และเป็นการผูกขาดอย่างหนึ่งหรือเปล่า
ชนินทร์ระบุว่า จากการนั่งกรรมาธิการสรรพสามิตฯ และพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายราย เขารู้สึกว่าเป็นไปได้ที่ตอนนี้โรงงานผลิตขวดแก้วในไทยอาจถูกผูกขาดโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ และทำสัญญาหรือข้อตกลงในการผลิตที่เยอะมาก
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งผู้ประกอบการรายย่อยก็ติดปัญหาหลายอย่าง ตั้งแต่การออกใบอนุญาตที่ไม่ใช่ว่าจะขอกันได้ง่ายๆ หรือเรื่องของกำลังการผลิต จำนวนคนงาน จำนวนแรงม้า ที่เดิมกฎหมายตั้งเงื่อนไขไว้สูง หรือเรื่องของการขอใบอนุญาตโรงงานขนาดกลางต้องเป็นขนาดเล็กมาก่อนอย่างน้อย 1 ปี การขยายธุรกิจของรายย่อยจึงทำได้ยาก และมองว่าจำเป็นต้องแก้ที่กฎกระทรวง
เมื่อการทำขวดบรรจุสุราในไทยกลายเป็นเรื่องยาก ผู้ประกอบการรายย่อยเกือบทั้งหมดจึงต้องหันไปพึ่งพาการผลิตจากโรงงานจีนแทน เพราะโรงงานจีนรับผลิตขวดแบบไม่จำกัดจำนวนขั้นต่ำหลักแสนใบเหมือนโรงงานไทย หรือค่าโมลด์ที่โรงงานไทยคิดในราคา 5 แสนถึง 1 ล้านบาท โรงงานจีนกลับคิดราคาประมาณ 25,000 บาท และสามารถทำขวดตามดีไซน์ที่ต้องการได้ทันที
กลายเป็นว่าอุตสาหกรรมจีนเข้ามามีส่วนแบ่งทางตลาดในธุรกิจสุราชุมชนไทยมากกว่าที่คิด และนอกจากการรั่วไหลของเม็ดเงิน จีนยังเห็นดีไซน์ เห็นความคิดสร้างสรรค์ เห็นไอเดียในการออกแบบขวดสุราชุมชนไทยกลับไปอีกด้วย
ต้องแก้ตรงไหน สุราไทยถึงจะโตได้แบบต่างชาติ?
เมื่อมองปัญหาหลายด้านที่เป็นเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะพบว่าหนึ่งสิ่งสำคัญคือ ‘ตลาด’ เพราะเดิมทีตลาดเหล้าเบียร์เป็นธุรกิจที่มีความเป็นเสรีต่ำ มีผู้เล่นน้อย ผูกขาดสูง เป็นสนามต่อสู้ของทุนใหญ่ และอีกสิ่งคือ ‘กฎหมาย’ ที่ไม่เอื้อต่อการเปิดโอกาสแก่ผู้เล่นหน้าใหม่
พอผู้ประกอบการรายย่อยลองก้าวเข้าสู่ตลาดจะเจอกับปัญหาการผูกขาดทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งเรื่องอัตราการผลิตที่ทำให้ผลิตได้แบบจำกัด พอผลิตสินค้าได้น้อยก็มีอำนาจต่อรองกับโรงงานทำขวดได้น้อย แล้วก็ติดเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่สามารถทำรูปแบบขวดที่หลากหลาย ไม่สามารถสร้างความแตกต่างหรือเพิ่มมูลค่าได้มากพอ ไปจนถึงการไม่สามารถโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้ ขายทางออนไลน์ก็ไม่ได้ จะเอาสินค้าของตัวเองไปลงในร้านอาหารหรือสถานบันเทิงก็ทำได้ยาก เพราะร้านอาหารหรือผับบาร์ทำข้อตกลงไว้กับบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่แล้ว
บางความคิดเห็นจึงสะท้อนว่า ต่อให้ไทยปลดล็อกสุราเสรี แต่ก็ไปติดเรื่องบรรจุภัณฑ์อยู่ดี โดยให้สังเกตเวลาไปตามงานขายสินค้าชุมชน สุราชุมชน หรือบาร์เหล้า จะเห็นว่าสุราไทยเกือบทุกแบรนด์มีดีไซน์ขวดอยู่ไม่เกิน 5 ทรง แตกต่างกับเหล้านอกที่มีดีไซน์หลากหลาย มีความสวยงามเฉพาะตัว เรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างมูลค่า กระตุ้นการค้า เปิดตลาดใหม่นอกจากคนชอบดื่มไปยังเรื่องของการซื้อเพื่อสะสม
รวมถึงมุมมองที่ว่า ถ้าคนทำสุราไทยหรือรัฐบาลอยากผลักดันให้ไทยเป็นได้แบบญี่ปุ่น เช่นการยกระดับสาโทเทียบเท่าสาเก ดีไซน์ขวดที่ซ้ำกันทั้งตลาด หรือการที่ขวดสุราไทยล้วนเป็นขวดที่ผลิตโดยจีน ยิ่งทำให้ความฝันนั้นยากที่จะเป็นไปได้ ทั้งหมดคือผลกระทบส่งต่อกันเป็นลูกโซ่ และมีจีนเป็นผู้รับส่วนแบ่งในกระบวนการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยไปเป็นจำนวนมาก
ทางด้านของชนินทร์ เขามองว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่าคนทำเหล้าใช้ขวดแบบอื่นไม่ได้ แต่ต้นทุนในการเข้าถึงขวดที่เป็นขวดแบบพิเศษ หรือขวดที่ผลิตโดยโรงงานในประเทศไทยสู้ราคาขวดในโรงงานจีนไม่ได้ อีกทั้งการขยายตัวของผู้ประกอบการไทย ยังมีไม่มากพอที่จะทำให้โรงงานผลิตขวดหันมารองรับคนทำเหล้ารายย่อย เลยเป็นเหตุผลทำให้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ขวดจากจีน ที่ถือเป็นแมสโปรดักชันแล้วได้ต้นทุนถูกกว่า
สิ่งที่เขามองว่าแก้ปัญหาได้ตรงจุด คือการทำอย่างไรก็ได้ให้สุราชุมชนของไทยมีมูลค่าสูงขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถมีทุนมากเพียงพอในการเลือกใช้ขวดที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการบางรายอาจมองแบบย้อนกลับว่าการมีขวดรูปแบบพิเศษจะทำให้เพิ่มมูลค่าได้ เรื่องนี้จึงเป็นเหมือนไก่กับไข่ ขึ้นอยู่กับมิติในการมองธุรกิจว่าผู้ประกอบการเชื่อหรือไม่ว่าหากลงทุนกับบรรจุภัณฑ์ที่ราคาแพงขึ้น ก็จะสามารถขายสินค้าได้ในราคาสูงขึ้นได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คือคนผลิตสุราในประเทศจำเป็นจะต้องลดราคาตัวเอง หรือไม่สามารถเพิ่มราคาได้ เพื่อให้แข่งขันกับสุราต่างประเทศ หากในอนาคตรัฐบาลสามารถส่งเสริมให้สุรากลายเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ หรือผลักดันให้สุราไทยถูกใช้กับแบรนด์เนมของไทยและเทศ ถูกใช้ในงานระดับประเทศบ่อยขึ้น ก็จะค่อยๆ สร้างความรู้สึกว่าสุราไทยมีมูลค่า หรือคิดว่าการดื่มสุราชุมชนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการบริโภคสุราจากต่างประเทศ
“หนึ่งในเหตุผลที่เราจำเป็นต้องยื่นตัว พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต เพราะมีเสียงสะท้อนเรื่องการผูกขาดในธุรกิจน้ำเมาอยู่มาก เราอยากส่งเสริมให้สุราประเภทอื่นๆ มีโอกาส หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น หากย้อนไปดูตัวเลขในอดีต จะเห็นว่าตัวสุราชุมชนจ่ายเป็นภาษีกลับมาที่ภาษีสรรพสามิตไม่ถึง 10% นั่นหมายความว่า Market Share ส่วนใหญ่อยู่กับทุนใหญ่ หรือสุราที่เป็นที่ทุกคนรู้จักในปัจจุบันไม่กี่ยี่ห้อ
“ผมเคยมีโอกาสคุยกับสุรารายหนึ่งที่อุบลราชธานี เพื่อเชิญชวนมาร่วมกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย ปรากฏว่าพอนำเหล้ามาให้บาร์เทนเดอร์ 10 เจ้า เขาก็ดีไซน์ออกมาได้เป็นค็อกเทล 10 แบบ สิ่งเหล่านี้เป็น Creativity ที่เปิดให้สุราชุมชนไปได้ไกลขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือการเปิดพื้นที่ให้เขามีโอกาสเข้าถึงใบอนุญาต มีโอกาสได้สื่อสารแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะนำมาสู่การลดการผูกขาด ลดการที่รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศไปกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการไม่กี่ราย” ชนินทร์ระบุ
เช่นเดียวกับเสียงของผู้ประกอบการ ที่มองว่าการลดการผูกขาดและทำกฎหมายให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย จะทำให้วงจรธุรกิจเครื่องดื่มในไทยเติบโต จากเดิมที่คนทำเหล้าไม่มีเงินเป่าขวดเอง ต้องหาอะไรที่เป็นพิมพ์นิยมทำไปก่อน แต่พอธุรกิจของกลุ่มเหล่านี้เริ่มโตขึ้น พวกเขาจะเริ่มมองหาความเป็นตัวเอง นำเงินมาลงทุนกับอาร์ต ดีไซน์ และการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
และหากแก้ปัญหาผูกขาดได้เมื่อไร ความหวังที่เราจะเห็นสิ่งใหม่ เห็นตลาดสุราไทยไปไกลได้อย่างที่หลายประเทศทำจนประสบความสำเร็จ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้จริงในสักวัน