จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการส่งออกของไทยในปี 2565 สามารถขยายตัวได้ 5.5% สูงเกินเป้าที่กำหนดไว้ที่ 4% คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวมที่ 287,067 ล้านดอลลาร์ หรือ 9.94 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ หากแยกตามประเภทสินค้า 3 หมวดสำคัญ พบว่า หมวดสินค้าเกษตรเป็นบวก 2.2% คิดเป็นมูลค่า 26,721 ล้านดอลลาร์ หรือ 9.25 แสนล้านบาท ขณะที่สินค้าในหมวดอุตสาหกรรมเกษตร พบว่า เป็นบวก 17.8% คิดเป็นมูลค่า 22,768 ล้านดอลลาร์ หรือ 7.88 แสนล้านบาท ด้านสินค้าหมวดอุตสาหกรรมขยายตัว 4.4% คิดเป็นมูลค่า 225,694 ล้านดอลลาร์ หรือ 7.81 ล้านล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กูรูชี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังเขย่าห่วงโซ่การผลิตโลก เตือนไทยมัวแต่เหยียบเรือสองแคม สุดท้ายอาจตกขบวน
- 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการประชุม APEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
- ต่างชาติแห่ปักหมุด ลงทุนเวียดนาม ยอด FDI พุ่งแซงไทยแบบไม่เห็นฝุ่น สัญญาณบ่งชี้ ไทยเริ่มไร้เสน่ห์?
สำหรับการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดี 10 รายการสำคัญประกอบด้วย
- น้ำตาลทราย +98.9%
- เครื่องโทรสาร โทรศัพท์และส่วนประกอบ +71.5%
- อัญมณีและเครื่องประดับ +50.3%
- ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ +44.8%
- หม้อแปลงไฟฟ้า +32%
- อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด +26.2%
- ไก่แปรรูป +24.8%
- ไก่สด แช่เย็นและแช่แข็ง +24.6%
- ไอศกรีม +23%
- อาหารสัตว์เลี้ยง +15.3%
ขณะที่ตลาดที่มีการเติบโตสูง 10 อันแรกประกอบด้วย
- ตะวันออกกลาง +22.8%
- สหราชอาณาจักร +15.6%
- แคนาดา +14.2%
- สหรัฐอเมริกา + 13.4%
- CLMV +11.5%
- เอเชียใต้ +11.5%
- อาเซียน + 9.5%
- ลาตินอเมริกา +5.5%
- สหภาพยุโรป +5.2%
- ออสเตรเลีย +1.7%
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทำให้การส่งออกปี 2565 ขยายตัวได้สูง ประกอบด้วย
- การทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนในรูป กรอ.พาณิชย์ และการใช้มาตรการทางการบริหารจัดการเชิงรุกและลึก ซึ่งช่วยให้ปัญหาอุปสรรคในการส่งออกสามารถลดน้อยและเดินหน้าได้
- การเร่งผลักดันให้มีการเปิดด่านชายแดนจากการที่ประเทศคู่ค้าสำคัญฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
- การหาแหล่งสำรองอาหารของผู้ซื้อทั่วโลก
- การคลี่คลายของปัญหาในระบบขนส่งสินค้า และการลดลงอย่างต่อเนื่องของค่าระวางเรือ
สำหรับในปี 2566 จุรินทร์ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงตั้งเป้าหมายว่าการส่งออกของไทยจะยังเป็นบวกได้ที่ระดับ 1-2% แม้ว่าจะมีปัจจัยเชิงลบที่รุมเร้า เช่น
- การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะตลาดหลักของไทย เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น
“เราคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 0.5-1% ส่วนยุโรปจะขยายตัวได้แค่ 0-0.5% ขณะที่ญี่ปุ่นจะขยายตัวได้ 1.6% การเติบโตในระดับต่ำของตลาดหลักเหล่านี้ย่อมกระทบต่อการส่งออกไทย” จุรินทร์กล่าว
- การที่หลายประเทศยังมีสินค้าในสต๊อกเหลือค้างอยู่ ทำให้อาจชะลอคำสั่งซื้อใหม่
- การที่ราคาน้ำมันโลกยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
- การแข็งค่าของเงินบาทที่จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลง
อย่างไรก็ดี จุรินทร์ระบุว่า สาเหตุที่กระทรวงพาณิชย์ยังตั้งเป้าการส่งออกในปีนี้เป็นบวกอยู่ เพราะในปีนี้ยังมีปัจจัยที่จะส่งผลเชิงบวกต่อการส่งออกไทยเช่นกัน เช่น
- การคลี่คลายของปัญหาในระบบขนส่งสินค้า และการลดลงอย่างต่อเนื่องของค่าระวางเรือ
- ความต้องการด้านอาหารของโลกยังมีอยู่
- ตลาดศักยภาพของไทยทั้ง 4 แห่งยังมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น
“เราคาดว่าการส่งออกไปยังตลาดตะวันออกกลางในปีนี้จะเป็นบวกถึง 20% ขณะที่เอเชียใต้จะขยายตัว 10% อาเซียนและ CLMV ขยายตัว 15% ขณะที่จีนก็มีการเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ทำให้ความต้องการสินค้าไทยจะเพิ่มขึ้น” จุรินทร์กล่าว