ส.อ.ท. เกาะติดกระแสค่ายรถยักษ์ใหญ่จากจีนหลั่งไหลเข้ามาทำสงครามราคาในไทย และการเข้ามาทำตลาดของ VinFast แบรนด์สัญชาติเวียดนาม เผยสถานการณ์ตลาดยานยนต์ไทยรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดต่อเนื่อง รวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่เรื้อรัง แบงก์ยังคงคุมเข้มปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดขายในประเทศลดลง ส่วนการส่งออกยังเจอวิกฤตทะเลแดง
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปีนี้กระแสงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ค่อนข้างคึกคัก หลายค่ายรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นยุโรป, อเมริกัน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, อินเดีย และแน่นอนว่าปีนี้เป็นอีกปีที่ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากจีนหลั่งไหลเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง และน่าจับตาว่าแบรนด์ VinFast สัญชาติเวียดนามก็พร้อมเปิดตัวและเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย
ต่อคำถามที่ว่า EV จีนจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และทำให้ไทยขาดดุลจีนมากขึ้นหรือไม่นั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รู้จัก ‘XPENG’ แบรนด์ที่ออกมาประกาศหั่นราคารถยนต์ไฟฟ้า 5 แสนบาท ท้าชน Tesla-BYD…
- เปิดชื่อแบรนด์รถยนต์ EV จีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย เริ่มเดินสายพานปี 2567-2568
- คลื่น EV จีน กำลังซัดรถยนต์ญี่ปุ่นให้หายไปจากไทย! เมื่ออีก 3 ปี รถยนต์ไฟฟ้าจะทะยานเป็น 100 ล้านคัน
สุรพงษ์มองว่า คงไม่ได้เป็นการทำลายตลาดรถยนต์ในประเทศ แต่มองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศเร็วขึ้นด้วย และเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันวางแผนให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปในภูมิภาค
“จริงๆ แล้วถ้าดูยอดขายจะพบว่ารถยนต์ไฮบริดมียอดขายมากกว่า ผมมองว่าไทยวางตัวในฐานะเป็นประเทศฐานการผลิตทั้งไฮบริด รถยนต์น้ำมัน และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา พร้อมส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตต่างก็มองว่าไทยมีความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนโลจิสติกส์ถูกกว่า ไทยมีภูมิศาสตร์ที่ดี อย่างเช่นจีนมาผลิตในไทยก็ส่งไปออสเตรเลียได้ง่าย”
ยอดผลิตหดตัว ส่วนยอดขายในประเทศก็ยังไม่ฟื้น
สำหรับภาพรวมยอดการผลิตรถยนต์ในไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อยู่ที่ 133,690 คัน ลดลง 19.28% จากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และลดลง 5.92% จากเดือนมกราคม จากยอดผลิตรถกระบะทั้งส่งออกและขายในประเทศลดลง อาจเป็นสถิติต่ำสุดในรอบ 2 ปี
เนื่องจากบางบริษัทขาดชิ้นส่วน ยอดผลิตรถยนต์นั่งลดลงเพราะถูกรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยยอดจดทะเบียนเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ประเภท BEV มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 22,278 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 81.97
ด้านยอดขายรถกระบะและรถยนต์นั่งก็ลดลงร้อยละ 43.2 และ 20.1 จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อตามนโยบายการให้กู้แบบรับผิดชอบจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง ส่งผลให้ยอดขายรถ PPV ลดลงร้อยละ 47.6 จากการไปซื้อรถยนต์นั่งตรวจการณ์ที่เป็น HEV มากขึ้นเพราะราคาถูกกว่า
รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศยังเติบโตในระดับต่ำ เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ล่าช้าไปถึงเดือนเมษายน ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐลดลง
“ภาคเอกชนเองก็หวังว่ารัฐบาลจะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยเพิ่มยอดขายในประเทศให้เพิ่มขึ้น เพราะช่วงนี้รถกระบะมียอดขายต่ำกว่ารถยนต์นั่งแล้ว ประกอบกับราคาน้ำมันที่แพงด้วย มีผลต่อยอดผลิตและยอดขายในประเทศมาก” สุรพงษ์กล่าว
ส่งออกยังเจอวิกฤตทะเลแดง
สุรพงษ์บอกอีกว่า ตลาดการส่งออกยานยนต์ไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากยังเจอปัญหาความไม่ปลอดภัยในเส้นทางทะเลแดง จึงต้องไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งใช้เวลาในการขนส่งมากขึ้นจึงทำให้จำนวนเที่ยวลดลง และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าบางแห่งชะลอลง จึงส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป นอกจากนี้ ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุถึงตลาดออสเตรเลียอย่างน่าสนใจว่า
“ล่าสุดมีรายงานว่าตลาดออสเตรเลียในอุตสาหกรรมเหมืองห้ามใช้รถกระบะน้ำมัน ซึ่งส่วนนี้อาจเป็นอานิสงส์ของไทยที่บรรดาค่ายรถจีน ญี่ปุ่น จะผลิตกระบะไฟฟ้าในไทยเพื่อส่งไปยังตลาดออสเตรเลีย ซึ่งหลายประเทศที่ส่งออกไปยังไม่มีประเทศไหนมีเงื่อนไขเหมือนออสเตรเลีย จึงต้องรอดูตลาดในทุกยี่ห้อ เท่าที่ทราบว่าโตโยต้าและอีซูซุกำลังพัฒนา”
